วันพฤหัสบดีที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2552

งาน (น่ะ) ถูกคน คนถูกงานมั๊ย

“สยามรัฐ” ฉบับที่ 11 ก.ย. 2552


เรื่องของข้าราชการกลุ่มเล็กๆ ที่หลายคนอาจมองว่าไกลตัวจากปัญหาปากท้อง แต่อาจจะเป็นประเด็นที่มีอิทธิพลมากอย่างคาดไม่ถึง นั่นคือ การเปลี่ยนแปลงตำแหน่งของข้าราชการกระทรวงการคลังครั้งใหญ่ ลองวิเคราะห์ดูกันค่ะว่า คนที่จัด วางถูกคน – ถูกงาน หรือไม่ (เหตุและผล : ถูกคน – ถูกงาน – บริหารคล่อง)


พงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ ขยับจาก ผอ.สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ มาเป็น อธิบดีกรมบัญชีกลาง ซึ่งจะดูแลการเบิกจ่ายงบประมาณโครงการไทยเข้มแข็งไม่ให้ติดขัด (เอาคนชงกู้เงิน มาอนุมัติจ่ายเงิน) ซึ่งแยบยลยิ่งนัก ท่าน รมต.คลัง (ปัญญา = ปรีชาหยั่งรู้เหตุผล)


อารีพงษ์ ภู่ชอุ่ม จาก ผอ.สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ มาเป็น อธิบดีกรมสรรพสามิต ซึ่งมีฝีมือและมีศิลปะเจรจา ต้องมาดูแลการเก็บภาษีที่เกี่ยวกับประชาชน ไม่ว่าจะเป็น ยานยนต์ สุรา รถ แอร์ โทรคมนาคม ซึ่งท้าทายเอาการอยู่


สมชัย สัจจพงษ์ จาก ผอ.สำนักงานเศรษฐกิจการคลังเดิม มาเป็น อธิบดีกรมศุลกากร ซึ่งจะดูแลด้านการภาษีนำเข้า – ส่งออก การประมูลให้เรียบร้อย แต่ประเด็นคือ เป็นตัวของตัวเองสูง และ อาจจะคนละแนวทางกับ รมช. คลังบางท่าน


สาธิต รังคสิริ จาก รองปลัดกระทรวงการคลัง ด้านจัดการรายได้ มาเป็น ผอ. สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ที่จะต้องทำงานกันอย่างใกล้ชิด สนิทแนบกับกระทรวงการคลังอย่างมากๆ

ข้อมูลพอสังเขปเหล่านี้ ยกความดีให้อย่างเป็นกลางว่า เท่าที่ดู “มีการเมืองแทรกน้อย” หรือ “อาจจะพอมี” แต่ “สกัดทัน” รมต. กรณ์ ต้องยอมรับ อย่างว่า ผิดใจกันบ้างกับคนในใจที่พรรคร่วมรัฐบาลช่วยกัน “ดัน” แต่ดัน “หลุด” แต่งานของ คุณกรณ์ อาจจะง่ายขึ้น เข้าตำรา “ชงเอง – เลี้ยงเอง – ส่งเอง” ถ้าไม่ตุงตาข่าย ก็แปลว่า ศักยภาพคนลงแข่ง “ไม่แกร่ง” หรือไม่ก็คนกันเอง เลื่อย (ขา) กันแรง ประชาชนจะ “ชม” หรือ “แช่ง” ให้งานแจกแจงสัก 3 เดือน ก็รู้



(ทิชา สุทธิธรรม)

**************************************

วันพฤหัสบดีที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2552

“ตื่นทอง” ต้องชั่งใจ

“สยามรัฐ” ฉบับที่ 7 ก.ย. 2552


ราคาทองคำในช่วงนี้ปรับตัวสูงขึ้นเป็นพิเศษ ในตลาดโลกที่นิวยอร์คพุ่งขึ้นมาคืนเดียวถึง 22 เหรียญสหรัฐ ส่วนบ้านเรายังขยับขึ้นชนิดที่ว่า บ่ายขึ้นมาบาทละ 300 เย็นขึ้นต่ออีกบาทละ 50 บาท


เหตุผลนอกเหนือจากราคาทองปรับตัวขึ้นตามราคาทองคำในตลาดโลกแล้ว นักลงทุนต่างประเทศก็หันกลับมาลงทุนในทองคำกันมากขึ้น และก็เช่นกัน ลงทุนกันเสถียรขึ้นในตลาดหุ้น แต่หนีออกจากตลาดน้ำมัน

เวลาเปลี่ยน ใจคนเปลี่ยน แต่การเปลี่ยนอย่างมีเหตุผลนั้น ก็ฟังได้

นักลงทุนไม่น้อยที่เห็นว่า แม้ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐจะดูดีขึ้น อาทิ ตัวเลขการซื้อบ้านใหม่ และ ประสิทธิภาพของผลผลิตนอกการเกษตรที่ดีขึ้นกว่าที่คาดการณ์ แต่ยอดว่างงาน ยังถีบตัวสูง จากข้อมูล เดือนสิงหาคม ล่าสุดที่ภาคเอกชนสหรัฐยังปลดคนออกอีกเกือบ 300,000 ตำแหน่ง, ดอลลาร์สหรัฐก็อ่อนลงเรื่อยๆ

สิ่งสะท้อนเหล่านี้คือเหตุผลที่คนยังไม่มั่นใจว่าเศรษฐกิจจะฟื้นจริง (วิจิกิจฉา : ลังเลสงสัย) ผลก็เลยเป็นอย่างที่เห็น “คนแห่เก็งกำไรซื้อทองคำเก็บเพราะเห็นว่าเป็นการลงทุนใน Safe heaven สินทรัพย์เสี่ยงที่ปลอดภัยที่สุด” แถมนายกสมาคมผู้ค้าทองคำแอบเปรยว่ามีโอกาสมากในอีก 3 สัปดาห์ ที่ทองคำจะขึ้นอีกอาจถึง 1,000 เหรียญสหรัฐ ต่อออนซ์

หวังว่าผู้ลงทุนคงพอบันยะบันยัง ลงทุนในตลาดทองคำล่วงหน้ากัน พอเป็นกระสัยมาบ้าง ....ซึ่งอาจจะช่วยให้คน “ตื่นทอง” น้อยลงและ “เยาวราชไม่แตก” (หวังไว้นะคะ)


(ทิชา สุทธิธรรม)
**************************************

วันศุกร์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2552

: คิดจะเริ่ม ต้องเริ่มเลย

“สยามรัฐ” ฉบับที่ 3 ก.ย. 2552

“หากจะคิดเริ่มต้นต้องทนเหนื่อย
ผลัดวันเรื่อย หลายวันผ่าน งานก็เหลว
มีแต่คิด ถ้าไม่ทำ ย้ำโดยเร็ว
เหมือนจุดเปลว ไฟไว้ ไม่ใช้งาน”
(พระครูปลัดสิทธิวัฒน์: หลวงพี่น้ำฝน)


“When we start to begin…prepare for “tired – with” it. Coz if we don’t begin …and postpone day by Day… it will burn out ...and fail… It is like the Fire which has flame but never know which way to light for”.


( ทิชา สุทธิธรรม )
Twitter@Ticha4tv
***************************************

: ญี่ปุ่น - หมุนเปลี่ยน


“สยามรัฐ” ฉบับที่ 2 ก.ย. 2552


เพิ่งมีข่าวดีเกิดขึ้นกับประเทศที่มีระบบเศรษฐกิจที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลกอย่าง “ญี่ปุ่น” กับการเลือกตั้งครั้งประวัติศาสตร์ ที่พรรคฝ่ายค้าน (DPJ) หรือ Democretic Party of Japan ที่คว้าชัยเหนือพรรคอนุรักษ์นิยมอย่าง LDP (Liberal Democretic Party) ที่บริหารประเทศมานานถึง 57 ปี ต้องบอกว่า อดีตนายกฯ อย่าง
ทาโร่ อาโสะ อาจจะเศร้า แต่เป็นสิ่งที่เดาได้ว่า “ไม่มีพลิก”

คนญี่ปุ่นนั้นเบื่อหน่ายมากๆ กับ นโยบายเศรษฐกิจที่ล้มเหลว ของอาโสะ ซึ่งจะว่าไปก็เคยทุ่มเทเม็ดเงินลงไปตั้งมหาศาล แต่จะว่าไปแล้ว อาโสะ อาจจะ “ซวย” เพราะเศรษฐกิจมันดันติดหล่มทั้งโลก ไม่ว่าใครหน้าไหนก็แก้ลำบาก

พอมาบวกกับนโยบายของฝ่ายค้าน ที่บอกได้เลยว่า ก็ไม่ได้มีอะไรผิดแผกแตกต่าง นอกเหนือซะจะเป็น “ประชานิยมจ๋า” เอาใจชนชั้นรากหญ้าสุดฤทธิ์ ซึ่งพรรค DPJ ใช้หาเสียง เช่น บ้านไหนมีเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี เรียนฟรี 1 แสนบาท ยกเลิกการเก็บค่าผ่านทางบางจุด รักษาสิ่งแวดล้อม

ไม่มีอะไรใหม่เกินคาดเดา เอาง่ายๆ คนญี่ปุ่นเหนื่อยหน่าย เลยขอแค่ “Change” บ้าง เผื่ออะไรๆ จะดีขึ้น (ถ้าไม่เปลี่ยนย่อมไม่พัฒนา แต่เปลี่ยนแล้วต้องยอมรับผลของมัน)

สิ่งที่ต้องดูต่อ คือ นโยบายเดิมของ LDP ที่ฝังรากกับกลุ่มทุน และบริษัท มีเงินเชิดหน้าชูตาญี่ปุ่นทั้งหลาย กับการกระจายบทบาทใหม่ สู่คนกลุ่มใหม่ ความเชื่อมโยง นี้จะทำให้เศรษฐกิจญี่ปุ่นดีขึ้นหรือแย่ลง

ผู้คนจะจดจำแบบไหน ฝ่ายค้านและนายกรัฐมนตรีใหม่จะทำงานได้ดีคู่ควรมั้ยกับคะแนนเสียง 300 กว่าๆ แบบถล่มทลาย ท้าทายต่อโฉมหน้าของทั้งญี่ปุ่นและคู่ค้าของญี่ปุ่นยิ่งนัก ....คิดเข้าข้างตัวเองสักหน่อย “ไทย” จะพลอยฟ้าพลอยฝน ได้ดีกับ “Change” ครั้งนี้ของญี่ปุ่นแค่ไหน.... ไม่นานคงรู้กัน !!

ทิชา สุทธิธรรม
************************

วันอังคารที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2552

หว่านพืช – หวังผล บ้างก็ได้

สยามรัฐ 28 ส.ค. 2552

ช่วงนี้จะเห็นว่าหลายต่อหลายประเทศเริ่มมีความหวัง ตั้งแต่ญี่ปุ่นที่ตัวเลขเศรษฐกิจฟื้นกลับเป็นบวกก่อนหน้านี้ จนมาถึงย่านเอเชีย อย่าง เวียดนามและอินโดนีเซีย

เวียดนามนั้นเป็นคู่แข่งของไทยยาวนาน แล้วก็เถียงกันมาตลอดในหมู่ของนักวิชาการว่า “นำหน้าไทยไปแล้ว” บ้างก็ว่า “ยังห่างชั้นนัก”

แม้จะเป็นประเทศที่พึ่งพาการส่งออกอย่างมาก และสินค้าส่งออกก็หน้าตาละม้ายคล้านเราอย่าง “ข้าว” อีก ที่แม้ตอนนี้จะเป็นรองไทยนิดหน่อยและก็มีแววตามทันได้ไม่ยาก ที่สำคัญ GDP เวียดนามที่ว่าต่ำ ก็ยังไม่เคยเติบโต ติดลบ กลับพุ่งสูงถึง 4.5 % แพ้อินโดเนียเซียแค่อึดใจ

ทีนี้มาดูเบอร์ 1 ในเอเชีย ตะวันออกเฉียงใต้ที่ถือว่าเป็นม้าต้นปลายและเคยเกือบแย่ อย่างอินโดนีเซีย แปลกแต่จริง ที่สถานการณ์พลิกกลับอย่างดีเหลือเชื่อ เงินเฟ้ออินโดนีเซีย ก็ชะลอลง เงินรูปเปียะห์ก็ไม่ผันผวนจนทำให้ GDP ขยายตัวสวนทางเพื่อนๆ โตได้ถึง 4.5%

เหตุผลสำคัญที่อินโดนีเซียอยู่ได้อย่างดี เพราะแม้ในช่วงเศรษฐกิจแย่รัฐบาลก็ยังทุ่มเงินงบประมาณแบบไม่อั้นในการผุดโครงการเมกกะโปรเจ็ค ถึง 6,500 ล้านเหรียญ รวมทั้งกระตุ้นการบริโภคภายในไปพร้อมกัน

วิธีการแบบนี้ใช้ได้ผลมากับหลายประเทศในอดีต ที้ต้องกัดฟันเดินหน้า และเริ่มโครงการต่อเนื่องให้ได้ เพราะนั้นหมายความว่า “รัฐบาลมั่นใจมาก” ว่าเศรษฐกิจจะเดินได้ และนี่จะถึง “ความมั่นใจของเอกชน” ตามมา จากนั้นการจ้างงานก็จะขยายตัว เงินและสินค้า ในระบบก็จะหมุนเวียนตามวิถีทางของมัน “รัฐหยุดลงทุนไม่ได้”!! (หว่านพืช เพื่อหวังผล : จนแต่ก็จำเป็น)

พี่ไทยล่ะค่ะ เลื่อน....รอ....และเลื่อนแล้วเลื่อนอีก ทะเลาะตัดขา “ฉันไม่ได้ แกก็ต้องไม่ได้” กว่ารัฐจะเริ่มเดินหน้าลงทุนได้สงสัยจะได้ “รัฐบาลใหม่” เป็นผู้ลงมือ !! (ความแน่นอนคือ ความไม่แน่นอน) นั้นย่อมหมายความว่า ความเปลี่ยนแปลงเป็นนิรันดร์ !!


(ทิชา สุทธิธรรม)
**************************************

เพื่อนกิน (เหล้า) , เราห่าง

สยามรัฐ 27 ส.ค. 2552

“สิ่งสำคัญอีกอย่าง คือ เรื่องเพื่อน คือ เราจะต้องเลิกคบเพื่อนที่กินเหล้า มิเช่นนั้นเราก็จะเลิก
กินเหล้าไม่ได้ เพราะเพื่อนกินเราก็ต้องกิน”
“ดังนั้น เราต้องเปลี่ยนมาคบเพื่อนที่ดี ที่ไม่กินเหล้า และเป็นเพื่อนที่จะนำเราไปสู่ความเจริญ”
(พระครูปลัดสิทธิวัฒน์: หลวงพี่น้ำฝน)


“One of the most important thing is, we have to stay away from the friend who drink alcohol. Because when they drink, you may have to drink to get along well wit them.
So, try to take up with a good friend who doesn’t drink and that one will lead you to
the right way.”
( ทิชา สุทธิธรรม )
Twitter@Ticha4tv
***************************************

วันอาทิตย์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ดื่มเหล้า หลอกใจ ว่าหายทุกข์

สยามรัฐ 25 ส.ค. 2552

“สาเหตุที่ทำให้คนชอบกินเหลานั้นก็คือ “การติดในความสุข” คือ เมื่อกินเหล้าเข้าไปแล้ว
ความคิดต่างๆ ของสมองก็จะลดลง ทำให้ลืมเรื่องต่างๆ ที่เคยทำให้ทุกข์ใจมาก่อนได้ แต่ใน
ความจริงแล้วลืมไม่ได้ พอหายเมาเรื่องทุกข์มันก็กลับมาเหมือนเดิม”
(พระครูปลัดสิทธิวัฒน์: หลวงพี่น้ำฝน)


“The reason to make people drink alcohol is “addicted to happiness” . The more they
drink , the less quality the brain work . The might feel as if they forget all the sadness
which is not true in reality. When they get recover from getting - drunk, the sadness
remains”.
( ทิชา สุทธิธรรม )
Twitter@Ticha4tv
***************************************



แพะรับบาป

สยามรัฐ 24 ส.ค. 2552

เหตุการณ์ดีๆ ในเชิงความสัมพันธ์ทางการฑูตที่เพิ่งจะเกิดขึ้นแบบช็อกสายตา คอการเมืองต่างประเทศไม่น้อย นั่นคือ กรณี สว. สหรัฐ จิม เวบบ์ที่ถูกส่งตรงมาเพื่อเจรจา กับ พล.อ. อาวุโสตานฉ่วย เรื่องของฝรั่งเจ้าปัญหา นายจอห์น เย็ตเตอร์ ที่เหมือน โชคดีมาโปรด

ก่อนหน้านี้ นายคนนี้ ดันทะเล่อทะล่า ว่ายน้ำ เข้าไปในบ้านพักของนาง อองซาน ซูจี ผู้นำการเคลื่อนไหวประชาธิปไตยของพม่า ที่ “ซวย” และ “งานเข้า” ผิดที่มาตลอด ผลคือ นางซูจี ถูกยืดเวลาการถูกกับบริเวณต่อ นายเย็ตเตอร์ ซึ่งตอนแรกถุกตั้งข้อหา และอาจได้รับโทษจำคุก 7 ปี หรือ ไม่ก็ถูกทางการพม่าลงโทษ โดยใช้แรงงาน (ผลของกรรม = ผลของการกระทำ)

แต่ลีลา “สาลิกาลิ้นทอง” ขั้นเซียนของ จิม เวบป์ นั้น กลับสามารถคลี่คลาย และละเว้นโทษให้นาย เย็ตเตอร์ แถมได้บินกลับอเมริกา ใช้ชีวิตได้อย่างปกติ (มธุรสวาจา)

คนที่ต้อง “ชดใช้” ในสิ่งที่คุณฝรั่งทะลึ่งทำไว้ (จะด้วยการเตรียมการหรือไม่เจตนาก็ตาม) ก็คือ นางซูจี ที่ต้องถูกกับบริเวณต่อไปอีก และเชื่อแน่ว่าถ้าถึงกำหนดปีครึ่งก็อาจมี “เหตุ” ให้นางต้อง ถูกกักออกไปอีก ซึ่งยังไม่รู้ว่าเหตุการณ์นั้นจะคืออะไร เป็น “แพะ” ซ้ำซาก

พูดง่ายๆ กับแค่ฝรั่งคนเดียว พม่าก็คง “หยวนๆ” ให้อเมริกา ดีกว่าสร้างความเกลียดชัง จนต้องถูกมติ “คว่ำบาตร” ไม่รู้จบ แต่วิธีของอเมริกาคงแยกยลกว่า เพราะตอนนนี้กำลังตั้งท่า “รอกล่อม” พม่าอีกรอบขอให้ปล่อยตัวนักเคลื่นไหวประชาธิปไตย รวมถึงนางซูจี ด้วย

แม้ทุกอย่างต้องใช้เวลา ก็ถือว่า “น่าจับตา” เพราะ “พม่า” จะ เอาด้วยมั้ย ถ้าเอา ก็หมายถึง การเลือกตั้งครั้งต่อไป รัฐบาลทหารพม่ามีสิทธิ์ พ่าย แก่ นางซูจี แต่ถ้าไม่เอาด้วย พม่าก็อาจจะต้อง “โดดเดียว” ต่อไป พม่า ถือเป็น “เซียน” รุ่นใหญ่ ต่อให้ Home Alone แค่ไหน ก็คงไม่ Home Sick !! ด้วย “อัตตา” อันยากยิ่งที่จะยอมฟังใคร !!


(ทิชา สุทธิธรรม : Twitter@Ticha4tv)
**************************************

วันอังคารที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ญี่ปุ่นเริ่มดี แต่ยังมีห่วง

สยามรัฐ 21 ส.ค. 2552

เป็นข่าวดีสำหรับเศรษฐกิจญี่ปุ่น เมื่อเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศหรือ GDP ขยับบวกขึ้นมาครั้งแรกหลังติดลบมาถึง 5 ไตรมาส ที่ 0.9% ไ ม่มากไม่มาย แต่ก็ต้องยกนิ้วให้ ถ้าไปดูไตรมาสแรกยังดิ่งลบลงไปถึง 3.1%

ทาโร่ อาโสะ ได้มีโอกาสยิ้มกว้างได้บ้างและพูดถึงสัญญาณการฟื้นตัวว่าเริ่มกลับมา แต่ช้าก่อน ลองแถลงไขกันทีละประเด็นเป็นไงค่ะ ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่พึ่งพาการส่งออกเป็นหลัก หลักๆก็รถยนต์ยี่ห้อดังๆ ทั้งหลาย โตโยต้า , ฮอนดา, นิสสัน, มิตซูบิชิ นัยว่า การฟื้นกลับมาบวกของ GDP มาจากยอดคำสั่งซื้อจากประเทศคู่ค้า ซึ่งฟื้นตัวไปก่อน อีกอันหนึ่งชัดๆ สำหรับผู้ซื้อสินค้าอิเล็กทรอนิคส์รายใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่นอย่างจีน กระโดดมาช่วยอุ้มไว้ก็ส่วนหนึ่ง (เพราะจีนกระตุ้นในการบริโภคในประเทศเหลือเกิน)

อีกอันหนึ่งมาจาก การกระตุ้นเศรษฐกิจของญี่ปุ่นเอง 25 ล้านล้านเยน (ที่มีน้ำหนักที่สุด ต่อการฟื้นตัว) ต้องบอกว่ามาเป็นซีรี่ส์ จนเงินคลังของประเทศพร่องถึงขนาด ทาโร่ อาโสะ ถูกประชาชนปรามาส จนคะแนนดิ่งฮวบ.....น่าสงสาร

ลองเปรียบเทียบดู ตอนนี้ทั้ง สิงคโปร์ เยอรมนี ฝรั่งเศส ฮ่องกง ต่างพ้นปากเหวถดถอยจากตัวเลขที่ฟื้นตัวก็จริง แต่ก็เป็นเหตุผลคล้ายกับญี่ปุ่น คือ ฟื้นจากการกระตุ้นของภาครัฐ ฟื้นจากยอดนำเข้าที่ลดลง (ซึ่ง คือ การประหยัดจนไม่อยากนำเข้าถ้าไม่จำเป็น) หรือการช่วยสั่งซื้อจากจีนและอินเดียซึ่งไม่เดือนร้อน

ทั้งหลายทั้งปวงก็ยังไม่เห็นว่าญี่ปุ่นหรือประเทศเหล่านี้จะยืนได้อย่างเสถียร แบบอยู่ตัวแท้จริงเลย ทุกสิ่งที่เคยวาดว่า “ฟื้น” เลยต้อง Wait and see ไปอีกหลายเดือน

ยิ่งถ้าเสาหลักนักบริโภคตัวเบิ้มของระบบเศรษฐกิจโลกอย่างสหรัฐยังไม่ออกอาการ บัวพ้นน้ำ - ถ้ำเจอแสง แล้วละก็ อย่าเพิ่งกล้าจะฟันธงอะไรกันไป เพราะก็เพิ่งทำใจกันหมาดๆ ที่ธนาคารที่ให้สินเชื่อภาคอสังหารายเขื่องอย่าง โคโลเนียล แบงก์กรุ๊ป อิงค์ ก็เพิ่งปิดตัวไป พระพุทธเจ้าตรัสว่า “อย่าเชื่อในสิ่งที่เห็น” ยิ่งคิดฝันให้เป็น ยิ่งไปกันใหญ่ !! (อันนี้พูดเองค่ะ)

(ทิชา สุทธิธรรม : Twitter@Ticha4tv)
**************************************

โจรภัย ไม่ร้ายเท่า ผีพนัน

สยามรัฐ 20 ส.ค. 2552

“ในช่วงเศรษฐกิจไม่ดี การจี้ชิงทรัพย์มีขึ้นทุกวัน โจรกลุ่มนี้ยังพอป้องกันได้ ถ้าไม่ประมาท

แต่สิ่งที่น่ากลัวกว่าโจรภัย ก็คือ โจรกรรมแห่งอารมณ์ที่ฟุ้งซ่าน โจรชนิดนี้ไม่มีตัวตน

ดังคำพูดที่ว่า “ผีพนันเข้าสิง” ผีตัวนี้ เมื่อเข้าสิงผู้ใดแล้ว อาจารย์ที่ไหนก็แก้ไม่ได้ ร้ายยิ่งกว่าโจร”
(พระครูปลัดสิทธิวัฒน์: หลวงพี่น้ำฝน)


“When economic downturn is still, always still tons of theives yet it can be protected by not take care recklessly”
“More scary thing than theives is “Gambling” if it is addicted to anyone, no one can help.”
( ทิชา สุทธิธรรม )
Twitter@Ticha4tv
***************************************



: “มั่น” แค่ไหน จะใช้ทวิตเตอร์

สยามรัฐ 19 ส.ค. 2552

หวังว่าคงจะยังไม่ “ล่า” จนเกินไปที่จะคุยถึงวิธีการสื่อสารยุคใหม่บนโลกไซเบอร์ Social Network ที่เรียกกันว่า Twitter ที่เหล่าคนดังทั้งระดับประเทศและระดับโลกต่างลงมาใช้ช่องทางนี้ สร้างประโยชน์ทั้งทางชื่อเสียง ชีวิตและธุรกิจ ตั้งแต่ประธานาธิบดี บารัก โอบามา ของสหรัฐ แลร์รี่ คิงซ์ คนข่าวระดับโลก ซูเปอร์สตาร์ชื่อดัง หรือแม้แต่นักการเมืองดังบ้านเราอย่างท่าน อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ , รัฐมนตรีคลัง กรณ์ จาติกวณิช , รองนายกฯ กอบศักดิ์, รมต. ประจำสำนักนายก สาธิต วงศ์หนองเตย เหล่า “เซเลป” เมืองไทย และนักการตลาดขั้นเซียน ธันยวัชย์ ไชยตระกูลชัย

แต่ทุกอย่างล้วนมาจากต่างจิตต่างใจ (นานาจิตตัง) คนบางคนเล่นเพราะมีเหตุผลที่จะเล่น เช่น นักการเมืองเล่นเพื่อให้ประชาชนรู้สึกใกล้และง่ายที่จะเข้าถึง ดาราเล่น เพื่อสร้างแฟนคลับ นักข่าวเล่น เพื่อบอกสาระภูมิความรู้ด้านการข่าว คนธรรมดาเล่น เพื่อหาเพื่อน เจ้าของรายการเล่น เพื่อรักษากลุ่มผู้ชม นักการตลาดเล่น เพื่อธำรงองค์ความรู้ที่จะบอกเล่ากับคน (ประโยชน์มีไว้ให้หวังและสร้างเสริม)

บทเรียนที่ดีมากอย่างหนึ่ง คือ การเล่น Social Network ต้องรู้จักรักษาระยะห่างและวางตัวตนในจุดที่ไม่ทำให้คนอื่น เข้าใจผิด มีคนธรรมดาจำนวนไม่น้อยที่อยากจะเข้าถึงคนที่ไม่ธรรมดา เพราะฉะนั้นถ้าต้องการความเป็นส่วนตัว (สันโดษ) ก็ไม่ควรเล่น

อย่าลืมว่า ชีวิตคนทำงานโดยปกติ คงไม่ได้มีเวลา เข้าเน็ต หรืออยู่หน้าคอมฯ ทั้งวัน ต่อให้เป็น แบล็คเบอรี่หรือมือถืออินเตอร์เน็ต 24 ชั่วโมง เองก็ตามเถอะ จะมีก็แต่คนบางกลุ่มที่หลงไหลและรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของสังคมไซเบอร์ ที่สามารถนั่งโต้ตอบได้ทั้งวัน หรือถ้าตีความให้ลึกและชัดกว่านั้น โลกไซเบอร์อาจจะให้สังคมใหม่ กับคนที่ไม่ค่อยมีสังคม แต่จะเป็นสังคมที่ควรเชื่อถือ หลงไหลหรือไว้วางใจได้หรือไม่จะเป็นแค่กระแส หรือถาวรตลอดไป ไม่ขอตอบ เพราะ เป็นเหตุผลและประสบการณ์ตรง (ส่วนบุคคล) จริงๆ ไม่ต้องการอย่างยิ่งที่จะถูกให้น้ำหนัก จนไป “หัก” ใครๆ ที่พิศมัยใน Twitter
(ทิชา สุทธิธรรม : Twitter@Ticha4tv)
**************************************

วันอาทิตย์ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2552

วาตภัย ไม่ร้ายเท่าลมปาก

สยามรัฐ 18 ส.ค. 2552

เรื่องของ วาตภัยหรือลมพายุ ถึงจะมีความร้ายแรงเพียงใด เมื่อมีขึ้นก็จะหยุดลงได้ตามธรรมชาติ

แต่มีลมบางสิ่งน่ากลัวและอันตรายยิ่งกว่า เพราะถึงแม้ลมจะพัดพาของมีค่าของเราไปได้ แต่ลมปากที่พูด
ออกมานันเป็นคำพูดที่ออกมาจากใจ จะพูดให้ดีก็ได้ จะพูดให้ร้ายก็ได้เช่นกัน คำพูดที่เกิดจากลมปากอาจทำลายโลกทั้งโลกให้วอดวายได้ด้ายลมปากไม่กี่ประโยค
(พระครูปลัดสิทธิวัฒน์: หลวงพี่น้ำฝน)


“Storm is a perfect scaring which is not supposed to occur people scream and run for lives.”
But when it happens, it has to stop by the rule of nature.
“There is another perfect storm from WORDS, words can affect both positive and negative side..and
a few Words can even destroy the whole world!!”
( ทิชา สุทธิธรรม )
Twitter@Ticha4tv
***************************************

วันพุธที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2552

“ที่” ของเรา แต่เขาก็ “ลัก” (ขโมย)

สยามรัฐ 14 ส.ค. 2552

กระแสแห่งความเป็นห่วง “ชีวิตชาวนา” กำลังเป็นที่พูดถึง เมื่อนายกสมาคมชาวนาไทย ออกมาเปิดเผย พร้อมหอบเอกสารแฟ้มบะเร้อมาให้กับกรมสอบสวนคีดพิเศษ (DSI) เพื่อนั่งยัน – นอนยันว่า เรื่องนี้มี “ยิ่งกว่ามูล”

ทั้งซาอุดิอาระเบีย ไต้หวัน เลบานอน และประเทศโลกตะวันออก ที่ “เงินเยอะ” และเริ่ม “คิดเยอะ” ว่า ถ้าต่อไปมีแต่เงิน + น้ำมัน แต่หา ข้าว หา พืช กินไม่ได้ คงลำบาก เลยกระเถิบมากว้านซื้อที่ดิน แถวประเทศกำลังพัฒนา

พี่ “ไทย” เราก็รวมด้วยว่า แถว สุพรรณบุรี อยุธยา ฉะเชิงเทรา กำแพงเพชร ก็ถูกกว้านไปมาก พวกต่างชาติจะเจรจาขอซื้อที่ดิน เสร็จแล้วก็จะว่าจ้างชาวนาเหล่านี้ “ทำนา” บางคนถูกจ้างไร่ละเป็นหมื่น ต่างชาติขอเสียเงินเพียงส่วนน้อย เพราะต้องการ “สอย” ผืนนาเงินน้อยต่อไปเรื่อยๆ ใช้วิธีฉลาด (แกมโกง) แบบ “นอมินี” ชาวนาที่มี “ที่” เลยไม่มีปากเสียง

นอกจากชาวนาจะไม่กล้าเอื้อนเอ่ยอะไรแล้ว ยังต้องก้มหน้าก้มตา ทำนา ให้ฝรั่งกันต่อไป คงมีเหตุผลอะไรที่ดีพอให้ ให้ “คิด” แต่บังเอิญ ที่ผู้เขียนไม่เข้าใจและหาไม่เจอ

มามองต่อถึงขั้นตอนที่ภาครัฐต้อง “ลงดาบ” ดาบอาจจะทื่อ หรือถูกมือดีหัก หรืออย่างไร สุดแท้แต่ ปัญหาที่นาถูก “งาบ” ไม่ได้ต้อง “คำสาป” ถึงขั้นแก้ไม่ได้ ปัญหามีอยู่ว่า ต้องกล้าแตะและชะล้าง พ.ร.บ. การประกอบกิจการ คนต่างด้าว และ ประมวลกฎหมายที่ดิน!!

พูดแทงใจดำแบบนี้ ผู้หลักผู้ใหญ่แทบแดดิ้น เพราะถ้าลงมือแก้กฎหมายที่ว่า ต่างชาติเค้าคงไม่ “ชิน” และ “บิน” เตลิดไม่กล้ามาลงทุน เจรจาต๊าอ้วย step ต่อไป อาจจะ “ม๊วย” ถาวร เพราะฝรั่ง “ถอนเรียบ” เสียบลงทุนข้างบ้าน แทน !! เศร้าสุดแสนซับซ้อนและซ่อนปม !!

(ทิชา สุทธิธรรม : Twitter@Ticha4tv)
**************************************

กตัญญู ผู้มีคุณ

สยามรัฐ 13 ส.ค. 2552

“กตัญญู รู้คุณท่าน เป็นฐานราก
มีค่ามาก กว่าทุกสิ่ง อย่าทิ้งขว้าง
ทำให้คน ได้เป็นคน ค้นพบทาง
ช่วยสรรค์สร้าง มรรคผล เป็นคนดี”
(พระครูปลัดสิทธิวัฒน์: หลวงพี่น้ำฝน)


“Be grateful to whom that is kind to you,
Never ignore their feeling,
this is considered to be the one thing
that will lead you to the right way.”
( ทิชา สุทธิธรรม )
Twitter@Ticha4tv
***************************************

วันอังคารที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2552

: จะบินสูง ต้องจูงใจ

สยามรัฐ 12 ส.ค. 2552

สถานการณ์โลกมันกลับตาลปัตรดีนะค่ะช่วงนี้ น้ำมันที่เคย 40 เหรียญก็ไปไกลถึง 70 เหรียญ จนต้องลดการส่งเงินสมทบกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงกันลงไป เพราะถ้าไม่คนไทยจะ “เคือง” เอา

แม้แต่ธุรกิจสายการบินก็แบกรับต้นทุนที่สูงขึ้นอย่างเลี่ยงไม่ได้ เช่น สายการบินยักษ์ใหญ่อย่าง บริติช แอร์เวย์ส จากอังกฤษ หรือ คาร์เธ่ย์ แปซิฟิค จากฮ่องกง กำลังหน้ามืด ขาดทุน ทั้งจากน้ำมันแพง และผู้โดยสารหด (ก็แน่ละ....ไหนคนจะผวากับหวัดใหญ่ 2009 อีก)

แต่สิ่งที่พลิก คือ สายการบินโลว์คอสต์ ทั้งหลายกลับเบ่งบานทั้งผู้โดยสารและกำไร อย่าง แอร์เอเชีย มาเลเซีย (ใหญ่ที่สุดในเอเชีย) ทำกำไร ไตรมาสแรก ปี52 ไป 56.4 ล้านเหรียญ (1,974 ล้านบาท) ผู้โดยสารเพิ่มมา 3 ล้านคน รวมถึงยังสั่งซื้อเครื่องบินเพื่มด้วย

ไทเกอร์แอร์เวย์ส สิงคโปร์ สั่งซื้อเพิ่มอีก 56 ลำ
ไรอันแอร์ โลว่คอสต์แอร์ไลน์ ของยุโรป ก็กำไรเป็นกว่าหมื่นล้านบาทซื้อเครื่องเพิ่มอีก 300 ลำ
หรือหน้าใหม่ สายการบินฟลาย ดูไบ ในเครือเอมิเรตส์ ก็สั่งซื้อโบอิ้ง 737 ไป 50 ลำ

อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา : โลกนี้ไม่มีอะไรแน่นอน สิ่งที่เคยรุ่งกลับร่วง เคยร่วง กลับมีแววกลับมารุ่ง ล้อกันไปตามเหตุและปัจจัย ที่พอวิกฤตเศรษฐกิจ การใช้ชีวิตก็ต้อง ดิ้น หนีตานย ถ้าฉวยเอา “โอกาส” ในวิกฤตมาทำกำไร มันก็จะใส่ “กลยุทธ์” (เสริฟอาหาร จำหน่ายสินค้าปลอดภาษี) เพื่อฉุดเม็ดเงินกลับ จงพึงสดัและจับยามสามตา!! เดี๋ยวนี้หมดยุค คนไทย “ตาพร่า” อยากบินได้อย่างสูงสง่า ราคาต้องจูงใจ !!

(ทิชา สุทธิธรรม : Twitter@Ticha4tv)
**************************************

วันอาทิตย์ที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2552

กตัญญูผู้ให้กำเนิด

สยามรัฐ 11 ส.ค. 2552

“กตัญญู ต่อผู้ได้ ให้กำเนิด
จักประเสริฐ ยิ่งนัก เสริมศักดิ์ศรี
ตอบแทนท่าน ที่กล่อมเกลี้ยง เลี้ยงชีวี
พระคุณนี้ มีแต่ปลืม ยากลืมเลือน”
(พระครูปลัดสิทธิวัฒน์: หลวงพี่น้ำฝน)


“Be grateful to whom that give you birth,
is the key of the good one with dignity,
Do return her kindness that raised and brought you up.
Because this always impressed and unforgetable.”
( ทิชา สุทธิธรรม )
Twitter@Ticha4tv
***************************************

ทางใคร..ทางเขา

สยามรัฐ 10 ส.ค. 2552

ขอไม่พูดถึงเศรษฐกิจสัก 1 วัน เพราะนี่ก็ใกล้วันแม่แห่งชาติ 12 สิงหาคม เข้ามาทุกขณะ กระแสของครอบครัวอบอุ่น กำลังมาแรง (ซึ่งก็เป็นเรื่องดี)

ในขณะที่ข่าวครึกโครมของผู้นำคนปัจจุบันในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของอิตาลี่ ซิลวิโอ แบร์ลุสโคนี่ กลับจุดกระแส “หลังบ้าน ที่ไม่แท้” ขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนหน้านี้ไม่กี่เดือนก็มีข่าว “ปูด” ว่า พ่อพวงมาลัยแบร์ลุสโคนีดอดไปร่วมงานวันเกิด “สาวสวย” คราวลูก “โนเอมี เลติเซีย” ที่มีดีกรีเป็นถึงนางแบบ “วัยกระเตาะ” อายุ 18 ปี (สาวสะพรั่งไม่ใช่น้อย) ย่อมกระตุกต่อมกิเลสเป็นธรรมดา (ขันธ์5 : รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ) “รูปขันธ์” นั้น “เธอสวยแน่” แต่กิเลสด้านอื่น แหะๆ ก็ไม่แน่ใจค่ะว่า “กินรวบ” ข้อไหนไปแล้วบ้าง?

แต่จะว่าไป จะไปโทษนายกฯ ผู้นี้ ก็จะดูเหมือน “ไร้เหตุผล” ไปหน่อย เพราะอย่างไรเสีย “he” ก็ “just single” เพิ่ง “โสด” เพราะเพิ่งหย่ามากับ “เวโรนิกา” ภรรยาคนล่าสุด แต่ที่แน่ๆลูกสาวนายก ออกอาการ “เซ็ง” สุดๆ ในความประพฤติของ “ผู้พ่อ” ซึ่งเธอบอกว่าไม่ค่อยให้ความรักเธอเท่าไหร่ เค้ามีแต่ “เลือดย่อมข้นกว่าน้ำ” แต่นี่ “น้ำข้นคลั่กกว่าเลือด” ค่ะ ผู้อ่าน!! นั่นคือทางแวที่ท่านเลือกและยืดอกว่า “พ้ม..ไม่ผิด”!!

วันก่อนแว่ปไปอ่านเจอ ข่าว “ซ่อง” เยอรมนี จะให้ส่วนลดกับคนที่ปั่นจักรยาน หรือใช้บริการรถขนส่งมวลชล ถ้ามาเป็นลูกค้าของ “ซ่อง” (Brothel) จะได้ส่วนลดถึง 5 ยูโร (240 บาท) จากปกติ ครั้งละ 70 ยูโร (3,360 บาท) แพงไปมั้ยเนี่ยะ! กับการใช้บริการได้ครั้งละ 45 นาที เยอรมนีถือเป็นไม่กี่ประเทศในโลกที่ยอมรับว่า “การขยายบริการโสเภณี” เป็นสิ่งที่ถูกกฎหมาย เพราะมีถึง 400,000 คนในประเทศ แถมได้รับอนุญาติให้ทำสัญญาการจ้างงานอย่างเป็นทางการซะด้วย อุตสาหกรรมระดับประเทศที่ “ร้อนเร่า – เศร้าจาง” ....ทางใครทางเขา...เราไม่ว่ากัน ค่ะน้องพี่!!

(ทิชา สุทธิธรรม : Twitter@Ticha4tv)
**************************************

วันพฤหัสบดีที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2552

: รอน้ำมันถูกลง....คงยาก

สยามรัฐ 7 ส.ค. 2552

น่าแปลกที่น้ำมันในตลาดโลกตอนนี้กลับวกเป็นขึ้นอีกครั้ง จะด้วยการเก็งกำไรหรือด้วยภาวะเศรษฐกิจจริงก็สุดแท้แต่ (สังสารวัฏ เวียนวนบนวิถีทาง) มันประหลาดตรงนี้ค่ะ

เวลาน้ำมันราคาลง ซึ่งพวกเราชอบมากกว่าขึ้น ผู้คนก็จะตีความว่า ตอนนี้ปริมาณน้ำมันเหลือค้างสต็อกโลกมาก คนซื้อน้อยลง แปลว่า ขับรถกันน้อยลงคงจะมีเงินในกระเป๋าหดน้อยลง แปลว่า เศรษฐกิจไม่ดีจริงมั้ง เศรษฐกิจฝันต้องยังแย่อยู่แน่ๆ เลย ซึ่งมันก็มีเหตุผลที่ถูกมากกว่าผิดที่จะทำให้คิดได้

แต่พอเวลาน้ำมันแพงขึ้น คนก็จะตีความว่า “สต็อกน้ำมันโลก มันคงเหลือน้อยลง เพราะคนใช้กันมากขึ้น ใช้เงินซื้อน้ำมันกันมากขึ้น ล้อกันไปทั้งโลกแบบนี้ ส่งสัญญาว่าเศรษฐกิจมันเริ่มฟื้น” ซึ่งก็ไม่มีอะไรผิด

แต่ประเด็นมันก็ คือ ทั้งๆ ที่รู้ว่าเวลาน้ำมันแพง มันสะท้อนเศรษฐกิจที่เริ่มดี แต่คนก็ไม่อยากให้แพง แถมเหตุผลพ่วงไปด้วยว่าน้ำมัน ที่แพงขึ้น กลับจะยิ่งเป็นต้นเหตุค่าขนส่งในประเทศเราให้มันบานปลายมากขึ้น ก็จะยิ่งเป็นอุปสรรคกับการพัฒนาเศรษฐกิจขึ้นไปอีก

แล้วจะเอายังไงกันดี ตอบไม่ได่ค่ะ เพราะ “ตลาดโลก” ที่ไม่ได้เป็นหน่วยงาน จับต้องได้ แต่ทว่าเป็นตลาดที่สะท้อนการใช้ที่แท้จริงที่สุดเป็นผู้กำหนด (ความจริงเป็นสิ่งที่ไม่ตาย)

แต่ฟังทางนี้ น้องพี่ทั้งหลาย ถ้ามันแพงก็คงต้องตั้งรับ เพราะเกินอำนาจอย่างเราๆ ไปจัดการ แต่เอ...รัฐบาลล่ะ ยังมีอยู่ 2 ขั้นนะ ที่พอจะผ่อนคลายได้

1) จะลดภาษีน้ำมันลงให้บ้างได้มั้ย เพราะราคาน้ำมันเริ่มเป็นภาระคน
2) จะ “ลด” เก็บเงินสะสมเข้ากองทุนน้ำมันลงได้สักนิดหน่อยมั้ย
ไหนๆ ก็ จ่ายค่าน้ำมันเพิ่มกันไปแล้ว

คำตอบ คือ “รอ” ค่ะ คุณกรณ์บอกรอให้ดีเซล 30 บาท ค่อยคิด (ตอนนี้เกิน 29 บาท/ลิตร) สวน “กองทุน” บอกไม่ได้นะ not now ฉันต้องเก็บเข้ากองทุนต่อ เผื่อฉุกเฉิน และชดเชยขาดทุน LPG น้องพี่ค่ะ ไม่ให้ทำร้ายใจกัน แต่อย่า “ฝัน” กันให้มากนาทีนี้ค่ะ

(ทิชา สุทธิธรรม : Twitter@Ticha4tv)
**************************************

วันอังคารที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2552

“อุทกภัย” ไม่ร้ายเท่า “ภัยสุรา”

สยามรัฐ 6 ส.ค. 2552

“น้ำ ที่ให้ชีวิต บางครั้ง ถูกธรรมชาติ เปลี่ยนให้มีทั้งคุณและโทษ”
“น้ำที่เป็นโทษอันเกิดจากภัยธรรมชาติพวกเราเรียกมันว่า “อุทกภัย” ภัยที่เกิดจากน้ำ
“แต่ที่น่ากลัวกว่า คือ น้ำสุรา ที่ใครก็ตามถ้าได้กิน ย่อมทำให้ขาดสติ
เห็นผิดเป็นชอบ.....เหล้า คือ น้ำเปลี่ยนนิสัย รสก็ขม แต่คนชอบกิน”
(พระครูปลัดสิทธิวัฒน์: หลวงพี่น้ำฝน)


“Water give us life …yet sometimes was naturally changed
to affect both good and bad side.
“Disaster from water called flood…yet, it was terrible
But what is worse than flood is Beverage , why?
Because it changes human behavior and sub – constion though it tastes bitter,
yet it is the favorite.”
( ทิชา สุทธิธรรม : Twitter@Ticha4tv )

***************************************

“บาท” แข็ง แจงด้วยเหตุ – ปัจจัย

สยามรัฐ 5 ส.ค. 2552

ทุกวันนี้ ดูเหมือนปัญหาค่าเงินบาทแข็งค่าเกินกว่าที่ควรจะเป็นกลับมาอีกครั้งปรับตัวทันกันมั้ยค่ะ คุณผู้อ่าน ต้นปีบาทอ่อน กลางปีบาทแข็ง ผู้ส่งออก บ่น กัน ระงม เพราะของๆ เราดูแพงในสายตาเมืองนอก คำสั่งซื้อก็เลยหด คนส่งออกเลยยอดตก อย่างที่เห็น ลองอธิบายดู เผื่อบางท่านจะได้มองภาพได้ออกมากขึ้น

เงินบาทจะอ่อนจะแข็ง มันมีเหตุผลเกี่ยวข้องกับการซื้อ และขายเงินบาท คนที่ขายเงินบาท คือ คนไทยที่ไปลงทุน เล่นหุ้น ฝากตังค์ที่เมืองนอก หรือ เป็นพวกต่างชาติที่มาลงทุน ต้อง “ขายบาท” เพื่อแลกซื้อเป็นดอลล่าร์ เอากลับประเทศเค้า

ซึ่งถ้าเงิน “ออก” นอกประเทศมากกว่า “เข้า” “บาท” ก็จะอ่อน แต่ตอนนี้บาทแข็ง 33.90 บาท ต่อดอลล่าร์ ก็แปลว่ากระแส “เงิน” ที่มาจากฝรั่งต่างชาติ ทั้งมาซื้อสินค้าและบริการ มาเล่นหุ้นมัน “เข้า” ประเทศมากว่า “ออก” พวกนี้แหละที่จะต้อง “ขาย” ดอลล่าร์ แล้วซื้อ “บาท” กลับเพื่อเอามาใช้ลงทุนในบ้านเรา

“บาท” ก็เลยแข็งโป๊ก กว่าที่ควรจะเป็น จน ดร.โกร่ง วีรพงษ์ รามางกูร ออกอาการเซ็ง ออกมาเฉ่งแบงค์ชาติอย่างที่เห็น

ในความเป็นจริง ไอ้อาการที่เงินเข้าประเทศมันก็ดีอยู่หรอก ถ้ามันเข้ามาแล้วอยู่ “ยาวๆ” ลงทุนเป็นจริงเป็นจัง แบบ Foreign Direct Investmen: ลงทุนโดยตรง ไม่ใช่พวก เงินร้อนแบบ “Hot Money” ที่เข้าๆ ออกๆ ให้ตลาดเงิน ตลาดทุน “วิตตก” เมื่อเทขายฟันกำไร แล้วดึงเงินกลับบ้านเก่า ซึ่งในทาง “พุทธ” นี่คงเข้าข่าย “คิดคด” และ “ฉ้อโกง” อย่างไม่ต้องสงสัย

อย่างไรเสียบ้านเรายังต้องการทุน จะหวังแค่การกระตุ้นจากเอกชนก็คงไม่พอ เพราะเอกชนยังใจไม่กล้า อยากเห็นรัฐบาลลงทุนให้ดูเป็นขวัญตาก่อน ว่าแต่ ตอนนี้รัฐบาลก็ยังไม่แน่ใจตัวเองเลยว่า เงินที่กู้มา 800,000 ล้าน จะเอาไปกระตุ้นส่วนไหน นอกจากชดเชยคลังที่ขาดดุล อย่างลนยังลุ้นไม่เห็นเลย เฮ้อ.. ปัญหามีให้แก้ก็แก้ไป (นิโรธ : หนทางสู่การแก้ปัญหา)

(ทิชา สุทธิธรรม : Twitter@Ticha4tv)
**************************************

วันอาทิตย์ที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2552

“ไฟ” ฤาจะสู้ “ไฟในใจ”

สยามรัฐ 4 ส.ค. 2552

อัคคีภัย สามารถสร้างความสูญเสียให้ แก่ทรัพย์สินและชีวิตร่างกายให้ต้อง “วอดวาย” ได้อย่างต่อเนื่องฉับพลัน”

“แต่ถ้ามองให้ลึกอีกแง่มุมหนึ่ง ที่ต้องมองให้ไกล มองให้ถึงแก่นแท้ของความจริงในชีวิตมนุษย์ อัคคีภัยอันเกิดจากไฟ ถึงอยางไรก็สู้ไฟในใจคนไม่ได้”

“เพราะไฟที่สุมภายในใจคน ร้อนแรงและเป็นอันตรายมากกว่า ถ้าเกิดขึ้นกับใคร ย่อมทำลายได้ทุกสิ่งที่มีอยู่ในโลกใบนี้”

“ไฟในใจคน คือ โลภ โกรธ หลง นั่นเอง”
(พระครูปลัดสิทธิวัฒน์: หลวงพี่น้ำฝน)


“It is right that FIRE can burn up all life and assets…..
In another words, when you look through real life….
Danger of fire cannot be compared to Danger of mind.
Fire – in – mind which are Greedy, Angry and Fool..can
destroy the whole world.”
( ทิชา สุทธิธรรม : Twitter@Ticha4tv )


***************************************

“ข้าว” งานเข้า !!

สยามรัฐ 3 ส.ค. 2552

โชคดีไปที่พี่น้องคนไทยไม่ต้องมาจ่ายค่าข้าวสารบรรจุถุงเพิ่มกันอีกคนละ 15-20 บาทต่อถุงค่ะ เพราะทางกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ได้เรียกผู้ประกอบการข้าวถุงไป “กล่อม” เอ๊ย.. ไปคุยเจรจาว่า ช่วยทนแบบภาระราคาเท่านี้ไปอีกสัก 2 เดือนได้รึเปล่า (ขันติ : อดทน อดกลั้น)

จะทำยังไงด้าย....ก็ต้องยอมกันล่ะค่ะพี่น้อง บ่นกันแทบเป็นแทบตายว่า ก็เพราะรัฐบาลนั่นแหล่ะ สต็อกข้าวไว้เยอะ แล้วไม่ค่อยยอมระบายออกมาทำให้เอกชนขาดแคลนข้าวที่จะไปบรรจุถุงขาย แค่นี้คนขายข้าวถุง (ซึ่งก็มีอันจะกินกันอยู่) ก็กลัวกันไปดอกนึงแล้ว !!

อีกดอกนึง เห็นจะเป็นการ “กริ่งเกรง” บรรดาเจ้าของ “ห้าง” ที่ข้าวบรรจุถุงทั้งหลายไปเสียเงินเพื่อให้วางขายได้ ว่ากลัวจะทำสินค้าแบบ “House Brand” ออกมาประมาณว่าคุณภาพ same same แต่ราคาถูกกว่า เดี๋ยวจะเสียลูกค้าที่แสนภักดีไปแบบไม่มีวันกลับ

ทีนี้ก็มีข้อมูลบางอย่างน่าสนใจว่า เหตุใด “ข้าวถุง” มันจึงมีแนวโน้มว่าจะ “ขึ้นราคา” ได้อีกไม่ยากเย็นในอนาคตอันใกล้ เรื่องมีอยู่ว่าตอนนี้ค่าธรรมเนียมวางขายสินค้าในห้างก็ปรับขึ้นจาก 500,000 บาท เป็น 1,000,000 บาท ต่อ สินค้า 1 ชิ้น, ค่าโฆษณาแผ่นพับก็เพิ่มขึ้นหลักแสน, ค่าธรรมเนียมที่หักจากกำไรก็ถูกเก็บเพิ่มจาก 2% เป็น 5-10% ไหนจะบอกส่วนต่างโดยไม่มีเหตุผลกันได้แบบลอยลมกันอีกสัก 2-3%

สรุป คือ “ข้าว” มีโอกาสแพงขึ้นทุกเมื่อค่ะพี่น้อง (อนิจจัง : ความไม่แน่นอนเที่ยงแท้)

วกกลับมาที่นโยบาย ของกรมการค้าภายในที่คนกิน – คนซื้อข้าวชอบใจแต่ผู้รู้จริงเรื่องข่าวทั้งหลายส่วยหัว ยื้อการขึ้นราคาข้าวถุงไป 2 เดือน แล้วค่อยคุยกันใหม่ อาจไม่ใช่การแก้ปัญหา แต่ซื้อเวลาให้คนเลิกบ่น ปัญญาจริงๆ ต้อง “กางดู” เพราะมีผู้เกี่ยวข้องหลายส่วนมีผลประโยชน์ อีกมากที่ขัดกันเอง ชัดเจนเมื่อไรจะพยายามแถลงไขให้ฟังค่ะ

(Twitter@Ticha4tv)
-ทิชา สุทธิธรรม-
**************************************

วันพฤหัสบดีที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

“เจ้าเงาะ และ ผองเพื่อน”

สยามรัฐ 31 ก.ค. 2552

ดิฉันได้มีโอกาสไปซื้อผลไม้ของพี่น้องเกษตรกรที่หน้าลานคนเมืองกรุงเทพมหานครมาค่ะ ในรายการเช้านี้....ที่หมอชิตนอกสถานที่ ที่นั่นมีมหกรรม “ช่วยไทยซื้อผลไม้ไทย สดจากสวนเกษตรกร” เป็นการระบายสินค้าเกษตรที่ผลผลิตจะออกมามากในช่วง ก.ค. – ส.ค. นี้โดยเฉพาะค่ะพี่น้อง

“มังคุด” ราคากิโลกรัมละ 12 บาท “เงาะ” ราคากิโลกรัมละ 10 บาท ลองกองแบบร่วงๆ แต่กินได้ 7 กิโล 100 บาท ยังไม่ทันจะกว้านซื้อ คุณพี่เกษตรกรก็เชิญชวนปอกเปลือกให้เสร็จสรรพพร้อม “เปิบ” อิ่มตั้งแต่ยังไม่เข้า “รายการ” !! (มากไปก็เป็นทุกข์ น้อยไปก็เป็นทุกข์)

เท่าที่สอบถามต้นทุนราคาของเจ้าเงาะที่มาจากสวน ก็ประมาณ 9 บาท นิดๆ บวกค่าขนส่งมาขายที่กทม. ขายที่ 10 บาท เกษตรกรบอกว่า “เนี่ย มันแค่เท่าทุนนะครับ” แต่ก็ยังเป็นทางเลือกที่ดีกว่า ขายแถวที่สวนแล้วพ่อค้าคนกลางมารับ เพราะนั่นแปลว่าจะได้แค่กิโลละ 7-8 บาท เท่านั้นเอง แปลเป็นไทยแบบไม่สุภาพ คือ “ถูก กดราคา” (Verb to be + Verb ช่อง3) ในอดีตแบบไม่รู้เวลาเกิด ฮะ..ฮ่า (คนละเรื่องกับผงของกรรม)

สรุป คือ ถ้าไม่ขายในปริมาณที่ “มากท่วมหัว” ขาดทุนชัวร์ไม่มั่วนิ่ม นอกจากผลไม้ของ ชาวใต้ ที่ล้นตลาดแล้ว ยังมีประเด็น “องศาที่แตกต่าง” ให้ชวน ขบคิดค่ะ

เนื่องมาจากแผ่นดินที่ตั้งเป็นเหตุ เส้นละติจูด – ลองติจูด จะมาเร็ว – ช้า กว่าทางภาคตะวันออกก็สุดแท้แต่ คนใต้บ่นว่ากว่าผลไม้ใต้จะออกมา คนไทยก็กินของภาคตะวันออกกันจนอิ่มตัวแล้ว

เฮ้อ..... ดูผิดที่ผิดเวลาไปซะหมดแบบนี้เห็นบ่นกันดีนักล่ะเอาเข้าจริง ก็หยอดรัฐมาหน่อยนึง แต่ความหมาย “ซึ่ง” กินใจ “จัดบ่อยๆ นะคร๊าบ ท่านนายกฯ” ผ่าง!!! สู้มั้ยค่ะท่าน
-ทิชา สุทธิธรรม-
**************************************

วันพุธที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

คนคุณค่า

สยามรัฐ 30 ก.ค. 2552

“เอาความดี เป็นแกนกลาง ทางชีวิต
เอาความคิด เป็นเครื่องช่วย อำนวยผล
เอาแรงงาน เป็นกลไก ภายในตน
นี่คือคน คุณค่า ราคางาม”
(พระครูปลัดสิทธิวัฒน์: หลวงพี่น้ำฝน)


“Take Goodness as the center of life,
take thinking method as a tool,
take energy as an inner system,
For all of these, lead you to a man with value”
(ทิชา สุทธิธรรม)

ทิชา สุทธิธรรม
***************************************


วันอังคารที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

เดียวดายใต้จักรวาล

สยามรัฐ 29 ก.ค. 2552

วันก่อนที่คุยว่า “ควันหลง” อันน่าหวาดเสียวในสายตาชาวโลกที่พอจะเก็บตกได้จาก การประชุมสุดยอดรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนนั้นยังไม่หมด เพราะระหว่างที่ฮิลลารี คลินตัน กำลังจะขึ้นแถลงความคืบหน้าความตกลงระหว่างชาติอาเซียนบนโพเดียมที่จัดเอาไว้ให้ “หญิงเหล็ก” ของสหรัฐโดยเฉพาะ

ทันใดนั้น รัฐมนตรีต่างประเทศเกาหลีเหนือเจ้ากรรม “เป็ก นำ ซุน” ดันแถลงขึ้นไปคว้าไมค์และจับจองโพเดียม ชิงแถลง “ตัดหน้า”!!

อย่าลืมว่าเกาหลีเหนือถือเป็นศัตรูผู้แสนดื้อของสหรัฐและประเทศผู้ภักดีสหรัฐและรักประชาธิปไตยและทั่วโลกต่างกำลัง “บีบ” ให้เกาหลีเหนือ “ระงับ” การทดลองขีปนาวุธพิสัยไกล (นิเคลียร์) โดยทั้งเกลี้ยกล่อมทั้งทางการฑูต และกดดันสารพัด

แต่สุดยอดรัฐมนตรีของเกาหลือเหนือท่านนี้ ก็สวมวิญญาณแห่งจุดยืนอันประหลาด (เหมือนวีรบุรุษของประเทศเขานั่นแหล่ะ) ประกาศว่า เกาหลีเหนือจะทดลองขีปนาวุธต่อไปและจะไม่ยอมหมอบกราบให้กับใคร ที่บังคับให้เข้าร่วมการเจรจา 6 ฝ่าย กระนั้น ก็ยัง “หยาม” หน้าสหรัฐอีกสักดอก ด้วยการปรามาสว่า “ทำอะไรเหมือนเด็กประถม ไม่เป็นผู้ใหญ่” วิ่งโร่ร้องฝ่ายนั้นที ฝ่ายนี้ทีให้มาบังคับกดดันตน

ส่วนฮิลลารี เมื่อโดน “ขโมยซีน” ก็หลบฉากไปรวบรวมสรรพกำลังมาเต็มแม็ก สาดสงครามน้ำลายซะ “ฮาร์ดคอร์” ยังเรียก “พี่” เธอบอกว่าสหรัฐยังจะเดินหน้าประสานสันติภาพให้เกิดขึ้นในโลกต่อไป และให้ชาวโลกจดจำไว้ว่า “เกาหลีเหนือเป็นพวกคนไม่มีเพื่อน” ไม่ใช่แค่ Home alone นะท่านแต่นี่มัน Alone in the universe กันเลยทีเดียว

Alone In the Universe เป็นเพลงของ David Usher ของลูกครึ่งไทยที่ดังมากเมื่อ 10 ปีก่อน ฟังเพลงก็รู้สึกเพราะและน่ารักดี แต่ถ้าความหมายมาอยู่ในเรื่องการเมืองระหว่างประเทศ มันดูยะเยือกพิลึกค่ะ (พระครูปลัดสิทธิวัฒน์ : หลวงพี่น้ำฝนกล่าวไว้ว่า อนึ่ง “นกมีขน คนมีพวก” พึงสะดวกควรสร้างกัลยาณมิตร)

-ทิชา สุทธิธรรม-
**************************************

วันอาทิตย์ที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

พึ่งพา – อาศัย

สยามรัฐ 28 ก.ค. 2552

“ถึงจะสูง ก็อย่าให้ เกินไม้สอย
จะต่ำต้อย ก็พอก้ม คว้า งมถึง
คนจะสูง หรือจะต่ำ ควรคำนึง
เราต้องพึ่ง พาอาศัย เห็นใจกัน”
(พระครูปลัดสิทธิวัฒน์: หลวงพี่น้ำฝน)


“Don’t expect far beyond to reach,
Or not to underestimate yourself
No matter how you are rich or poor,
human needs to depend on one another.”
(ทิชา สุทธิธรรม)

ทิชา สุทธิธรรม
***************************************

“ฉัน (อเมริกา)” ยังอยู่

สยามรัฐ 27 ก.ค. 2552

เป็นที่เกรียวกราวสำหรับการประชุมเออาร์เอฟ ประชุมสุดยอดรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนที่ปิดฉากไปแบบหน้าหนึ่งประวัติศาสตร์ อันน่าจดจำและอดตะลึงพรึงเพริดไม่ได้

ก็จะอะไรซะอีก เมื่อถึงวาระที่ฮิลลารี คลินตัน รัฐมนตรีต่างประเทศของสหรัฐ ที่อุตส่าห์ข้ามน้ำข้ามทะเลมาร่วมการประชุมครั้งนี้ เพื่อต้องการประกาศว่า “ในนามของอเมริกา ข้ายังอยู่” จากเหตุปัจจัยที่ไม่มากไม่มาย ง่ายๆ แบบนี้เองค่ะ

คือ พักหลังๆ มาเนี่ย ตั้งแต่ บารัค โอบามา ได้ขึ้นเป็นประธานาธิบดีสหรัฐก็รู้และเข้าใจได้ดีว่า โอบามา นั้น “อ่อน” ในประเด็นนโยบายการต่างประเทศและมัวไปวุ่นวายกับการสร้างความเป็นพวกเดียวกันกับกลุ่มประเทศอาหรับ (ซึ่งก็ยังไม่เต็มสูบ ยังกล้าๆ กล้วๆ) ก็เลยทำให้เอาใจออกห่าง “เอเชีย” ไปบ้าง แบบไม่ได้ตั้งใจ

แต่ ณ ฉับพลันทันใด พี่ “จีน” ผู้มีนามสกุลว่า “ยักษ์ใหญ่” ก็เริ่มกรุยทางหนักขึ้นยามอเมริกาเผลอ เพื่อประโยชน์ทางการค้าและการสำรวจแหล่งทรัพยากรธรรมชาติ ซึ่งความสัมพันธ์ก็กำลัง ปึ๊ก(อ่านว่าซี้ปึ๊ก)มาก ทั้งกับ “พม่า” , “กัมพูชา” , “ลาว” และ “เวียดนาม”

หากเปรียบภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นเส้นชัย (อุปมาอุปไมย) จีนกำลังเป็น “กระต่าย” (ที่ขาย้าว ยาว ) และอเมริกาเริ่มพ่าย กลายเป็น “เต่า” เฮ่ย จีน มายเฟรนด์ จะทำอะไรก็ไว้หน้า ไอ (I) บ้าง!! แล้วก็คลอเพลง “ฉันยังอยู่” ของ อิง อชิตะ ปราโมทย์ ไปพลางๆ

แหะ.....แหะ ก็น่าจะพอช่วยได้บ้างหรอก ถ้าสิ่งที่อเมริกาสัญญาแล้วลงนามไปจะทำได้จริง แต่ “นี่” แค่น้ำจิ้ม ยังมีควันหลงประชุมสุดยอดรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนให้อ่านกันต่อ ฉบับหน้าค่ะ

-ทิชา สุทธิธรรม-
**************************************

วันพุธที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

“กอช.” ต่อชีวิต

สยามรัฐ 24 ก.ค. 2552

นอกจากเรื่องการที่นายจ้าง – ลูกจ้างมีโอกาสที่จะส่งเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคมน้อยลงจาก 5% มาเหลือที่ 3% จากวาระการ “ชง” เตะโด่งเข้าครม.ของท่านรมต.คลัง กรณ์ จาติกวณิช จะทำให้ทั้งนายจ้างยิ้มได้ เพราะจะมีภาระใส่เงินเข้ากองทุนน้อยลง ยังทำให้คนกินเงินเดือน หรือลูกจ้างทั้งหลายมีเงินเหลือเพิ่มขึ้นในบัญชีเงินเดือน

จะเป็นเช่นนี้ไปอีก 6 เดือน ตั้งแต่ ก.ค. – ธ.ค. 2552 ค่ะ

อีก 1 เรื่อง ที่ดี และน่าจะเกิดขึ้นมาตั้งนานแล้ว นั่นคือ “กองทุนการออมชราภาพ” (กอช.) ที่จะนำเงินที่สมาชิกกองทุนใส่ลงไปเดือนละ 100 บาท ไปลงทุนให้ออกดอกออกผล โดยมีรัฐบาลช่วยสมทบด้วย แบ่งได้ตามนี้ค่ะ

อายุ 20-30 ปี รัฐสมทบให้ 50 บาท/ เดือน
อายุ 31-50 ปี รัฐสมทบให้ 80 บาท/เดือน
อายุ 50-60 ปี รัฐสมทบให้ 100บาท/เดือน

ส่วนอัตราผลตอบแทนก็จะไม่ต่ำกว่าดอกเบี้ยเงินฝากประจำของธนาคารใหญ่ 5 แห่งหลักๆ มาถัวเฉลี่ยกัน

แต่มีข้อแม้ว่าคนที่จะมาลงทุนใน กอช. ได้ จะต้องเป็นผู้ประกอบอาชีพอิสระ เป็นนายตัวเอง ซึ่งเป็นเครื่องการันตี “เงิน” ดูแลให้ท่านได้ในวัยเกษียณ ที่อาจทำงานไม่ไหวเท่าสมัยหนุ่มๆ

“อุปมา” โดยบทบาทก็เหมือนกับ กบข. และ สปส. นั่นล่ะค่ะ เพียงแต่กองทุนบำเหน็จบำนาญจะดูแลข้าราชการ และ กองทุนประกันสังคมจะดูแลคนที่มีเงินเดือนประจำ

งานนี้บอกได้ว่า “โดน” และ “ดี” เพราะเป็นวิธีที่ทำให้ใม่ประมาทคิดวางแผนกับชีวิตในอนาคต ณ ยามที่ “ไม่มีแรง” !! (เอหิปัสสิโก: เป็นธรรมที่ควรบอกกับผู้อื่นว่า ท่านจงมาดูเถิด)
-ทิชา สุทธิธรรม-
**************************************

เสียเงิน อย่าเสียคน

สยามรัฐ 23 ก.ค.2552

“เสียเงิน เสียทอง ของนอกกาย
เสียมาก เสียมาย อย่าไปสน
เสียนิด เสียหน่อย พอทน
ไม่เสียคนนั้นหรือ คือ กำไร”
(พระครูปลัดสิทธิวัฒน์: หลวงพี่น้ำฝน)


“If you happen to lose money, please don’t care,
Even it is a large amount of money, forget it !
Or it is a very little money , pay it….
The important thing is not to lose yourself…
that is considered to be your benefit.”
(ทิชา สุทธิธรรม)

ทิชา สุทธิธรรม
***************************************

วันอาทิตย์ที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ท้อแท้ไม่ช่วยอะไร

สยามรัฐ 21 ก.ค. 2552

“อย่าท้อแท้เมื่อยามต้องลำบาก
อย่าวิ่งจากปัญหาไปเฉย......เฉย
อย่าคิดว่าหนทางไม่มีเลย
อย่านิ่งเฉยลุกขึ้นสู้ต่อไป”
(พระครูปลัดสิทธิวัฒน์: หลวงพี่น้ำฝน)


“Do not be discoraged when you are in trouble,
Do not run away from problems , Do not
tink it has no exit. Come on !! It is not
The end of the world.
Try to stand up and keep on fighting.”

(ทิชา สุทธิธรรม)

ทิชา สุทธิธรรม
***************************************



เอาไว้ก่อน เถอะตอนนี้

สยามรัฐ 20 ก.ค. 2552

เมื่อไม่กี่วันก่อนดิฉันมีโอกาสลงไปทำสกู๊ปพิเศษที่อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี แล้วก็ต้องบอกว่าตื่นตาตื่นใจมาก เพราะว่าเมืองทั้งเมืองของศรีราชาคราคร่ำไปด้วย “คนญี่ปุ่น”

แต่เดิม ศรีราชาแห่งนี้ถือเป็นดินแดนยุทธศาสตร์ของเขตพื้นที่พัฒนาชายฝั่งตะวันออก หรืออีสเทิร์นซีบอร์ด สมัยพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ เป็นที่ซึ่งมีการลงทุนพัฒนาโดย ภาครัฐและเอกชน หลายหลากมาก เช่น ท่าเรือน้ำลึกแหลมฉบัง

รวมถึงบริษัท ข้ามชาติทั้ง จีน เกาหลี แต่ที่ดูแล้วเป็นหลักเป็นฐานก็เห็นจะเป็นชาวญี่ปุ่น อ๊ะ.....อ๊ะ ทำเป็นเล่นไป คนญี่ปุ่นที่มาตั้งรกรากที่ศรีราชาแห่งนี้มีถึงกว่า 5,000 คน ส่วนใหญ่จะเป็นตั้งแต่ระดับผู้จัดการไปจนถึง ซีอีโอ (CEO: Chief Executive Officer)

จึงไม่แปลกที่จะเห็นทั้งคอนโดมิเนียม เซอร์วิส – อพาร์ตเมนต์ ร้านอาหารญี่ปุ่น, ร้านคาราโอเกะ ผุดขึนมาเป็นดอกเห็ด

“ซึ่งนั่นหมายความว่า คนญี่ปุ่นเหล่านี้จะสร้างรายได้” ให้กับศรีราชาอย่างมหาศาล (ถ้ารู้จักทำ)

คนญี่ปุ่นที่นี่จะค่อนข้างเป็นกลุ่มเป็นก้อน และจะไม่ค่อยคบคนไทยเท่าไร ร้านอาหารญี่ปุ่นส่วนใหญ่ ก็มีคนไทยเป็นเจ้าของมาก่อน แล้วถูก take over เพื่อทำรองรับคนญี่ปุ่นที่ต้องการความเป็นส่วนตัว และมีฐานกำลังซื้อสูงกว่า (ปฎิบัติชอบย่อมไม่ใช่เลือกปฎิบัติ)

ดูแล้วก็ไม่ค่อยชอบใจ แต่จะว่ากระไรได้ ตักตวงจากเขาก่อนได้ก็ตักตวงไป ทำอะไรก็ได้ ไม่ต้องอาย ในวันที่ชาติ “ขาดเงิน” จริงมั้ย !!
-ทิชา สุทธิธรรม-
**************************************

วันพุธที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

: “ตาย” ท่วมหัว “กลัว” จนต้องปิด

สยามรัฐ 17 ก.ค. 2552

ดิฉันไปอ่านเจอข้อมูลทางการแพทย์ที่น่าสนใจ ว่า ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 นั้นอาจจะกินวงกว้างในอัตราเร่งตัวมากขึ้น เชื้อโรคที่ปนมากกับการไอ จาม นั้นสามารถฟุ้งกระจายได้ถึง 5 เมตร (โอ้!! แม่เจ้า) ดิฉันจำในวันที่ไม่ทันได้พกหน้ากากว่าตัวเองพยายามเอากระดาษทิชชูปิดปากอยู่เหมือนกัน แต่สงสัยจะกลั้นหายใจได้ไม่พ้นระยะ 5 เมตร (แต่ยังสบายดีค่ะ)

ตอนนี้กระทรวงสาธารณสุขได้ยกเลิกการประกาศเป็นผู้เสียชีวิตรายวันเป็นการประกาศในทุกวัน “พุธ” บอกตรงๆ ว่า “ไม่เห็นด้วย” เพราะตีโจทย์ไม่แตกว่า เป็นเพราะรัฐบาลกลัวว่าข้อมูลจะถูกบิดเบือน หรือกลัวว่าประชาชนจะรับไม่ได้ว่า “รับมือหวัดใหญ่ไม่ได้เรื่อง” จนเสียคะแนนนิยมกันแน่

ถามจริงเหอะ “หยุดประกาศตัวเลขคนตาย แล้ว คนมันหยุดตายเหรอค่ะพี่” ดูไปเถอะค่ะบทพิสูจน์นี้จะลุล่วง หรือเหลวเป๋ว

อีก 1 เรื่องที่น่าห่วง คือ “หน้ากากอนามัย” ที่ขาดตลาดอย่างหนัก เพราะพี่ไทยคนป่วยเยอะ คนยังไม่ป่วยแต่ตื่นตูม (ซึ่งก็ดี) มันก็เยอะ แถมยังต้องผลิตเพื่อส่งออกอีก เลยถูกระงับส่งออก เอามาส่งให้คนในประเทศใช้กันก่อน (ถ้าไทยไม่ช่วยไทยแล้วใครจะช่วยเรา : กรุณา คือ การคิดอยากให้ผู้อื่นมีความสุข)

ฝากสำหรับพวก “โก่งราคา” และ “กันตุน” หน้ากากกันหน่อยหวัดระบาดจนตายกันขนาดนี้ แถมมีท่าทีจะไปยาวจนถึงปลายปีในเบื้องต้นเนี่ยะ จะ “ซ้ำเติมคนไทยกันไปทำไม” แค่คุณธรรมง่ายๆ ไม่เห็นต้องกลั่นกรองอะไร ถ้าคิดผิด ก็อยากให้คิดกันใหม่ ถึง สังคมเกือบจะหมดสิ้น ความศิวิไลซ์ (sivilizde) อย่างน้อยๆ ก็ควรไม่ “ใจดำ” !!

-ทิชา สุทธิธรรม-
**************************************

ชาย- หญิง แท้จริงเท่ากัน

สยามรัฐ 16 ก.ค. 2552

“แม้เป็นหญิง ก็เป็น คนคนหนึ่ง
มีสิทธิ์ซึ่ง พึงรักษา ถ้าโดนหยาม
เกิดเป็นคน เหมือนกัน ทุกผู้นาม
ควรให้ความ เท่าเทียม เปี่ยมธรรมดา
(พระครูปลัดสิทธิวัฒน์: หลวงพี่น้ำฝน)


“Although one was born as a woman, she is a human,
she has her own rights to protect herself when hurt,
Just like every single human of course,
She is equal to “man” and need to live in equality”
(ทิชา สุทธิธรรม)

ทิชา สุทธิธรรม
***************************************

: ระวัง....จะอยู่ไม่ไหว

สยามรัฐ 15 ก.ค. 2552

ยังคงคาใจอยู่จนทุกวันนี้ค่ะ วันนี้คุณแม่มาเล่าให้ฟังว่าไปพบหมอ (แพทย์) อายุรกรรม เพื่อปรึกษาเรื่อง “หวัด 2009” ด้วยความกังวลว่าตัวเองจะเป็น จากนั้นก็ได้ยินได้ฟัง คุณหมอ พูดว่า “สื่อน่ะ” ตีข่าวกันจนเว่อร์ ทำเหมือนเป็นสิ่งที่น่ากลัว รุนแรง จริงๆ มันก็แค่ “ไข้หวัดใหญ่ธรรดา” ที่อาการไข้สูงไม่ลด

ดิฉันเลยย้อนถามไปหน่อย “แล้วไอ้ที่มีคนตายกันล่ะ ธรรมดามั้ย” แม่บอก “นั่นมันสำหรับคนที่มีโรคแทรกซ้อนอยู่แล้ว” แต่ she ก็บอกว่า she ปวดหัว กลัวอยู่เหมือนกัน ว่าไม่ได้นะค่ะ คุณผู้อ่านทั้งหลาย

ในความเห็นส่วนตัวของดิฉัน “นี่คืองานใหญ่ที่บั่นทอนอายุของรัฐบาลชุดนี้”

ปาฏิหาริย์มีจริง ค่ะ แค่ปลากระป๋องยัง “ม่อง” เด้งจากครม. ได้ นับประสาอะไร กับ หวัดที่ทำคนถึงตาย โดยรัฐบาลทำอะไรไม่ได้มากไปกว่า “เฝ้าดูดาย” เห็นแล้วขัดใจแทน แม้นว่า “อุเบกขา” (การวางเฉย) ซะบ้างจะเป็นทางสายกลางกับชีวิต ดิฉันอดคิดไม่ได้ว่า “คงไม่ถูกเวลา” ซะละมั้ง

แต่ที่มาแน่ๆ แบบถูกเวลาคงเป็นเรื่องของ “พันธบัตร ออมทรัพย์ ไทยเข้มแข็ง” ที่โดนใจอย่างแรงในหมู่ ผู้สูงอายุ ดอกเบี้ยเฉลี่ยที่ 4% เป็นความหวังคนชราโดยแท้ อยากจะเสนอแนะคุณปู่ คุณย่า คุณตา คุณยาย กันนิดหน่อยค่ะ อยากให้คิดยาวๆ มองไกลๆ ถ้าลงทุนอะไรในเวลาที่ยาวนาน ซึ่งอาจนานเกินกว่าที่ “ท่านๆ” จะอยู่ไหว (อะไรๆก็เกิดขึ้นได้) ก็ต้องถ่ายเท “มรดก พันธบัตร” ไว้ให้ลูกหลานท่านบ้างน่าจะดีนะค่ะ อย่างน้อยจะได้มีผู้รับช่วงต่อ หรือถ้าท่านๆ ล่วงเลยจนเกิน 70-80 ขวบปีไปแล้วละก็ ซื้อไปอาจไม่ไหวจะอยู่ครบกำหนดไถ่ถอน เก็บเงินพักผ่อน อยู่บ้านรักษาตัว น่าจะดีกว่า อย่าเพิ่งต่อว่าหลานคนนี้หนา ปรารถนาดีจากใจ!!
-ทิชา สุทธิธรรม-
**************************************

วันอาทิตย์ที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ผู้หญิงก็คน

สยามรัฐ 14 ก.ค. 2552

“คนเหมือนกัน เกิดที่ใด ไม่ผิดแปลก
ไม่ควรแยก เผ่าพันธุ์ มันเสียหาย
ถึงชายหญิง ต่างกัน เพียงร่างกาย
อย่าทำลาย ข่มศักร์ศรี สตรีไทย”
(พระครูปลัดสิทธิวัฒน์: หลวงพี่น้ำฝน)


“We are all human on matter where we were born,
no need to discriminate who you are
Both man and woman are same except their physical look,
So, don’t look down on dignity of female.
(ทิชา สุทธิธรรม)

ทิชา สุทธิธรรม
***************************************

: เหตุวิบาก จากหวัด (ใหญ่)

สยามรัฐ 13 ก.ค. 2552
คงยังไม่น่าเบื่อพอที่จะพูดถึงไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ที่คร่าชีวิตคนไทยกันรายวัน ปัญหาที่เป็นข้อสงเกต คือ คนมากมายที่รับเชื้อแต่กลับถูกปฎิเสธว่า “ไม่เป็นไข้หวัด 2009” ในเบื้องแรก น่าแปลกและอดสงสัยแบบคนที่ไม่ได้เป็นแพทย์ไม่ได้ว่า เหตุใดเรื่อง “เชื้อโรค” ง่ายๆ จึงวินิจฉัยไม่เจอ (ยังคงลังเลสงสัย : วิจิกิจฉา)

ต้องรอจนย้ายโรงพยาบาลและใกล้กลับบ้านเก่า แพทย์ถึงเริ่ม “เดา” ได้ว่าติดหวัดใหญ่ 2009 รอจนวันใกล้ “เผา” โน่นเหล่ะ ถึงจะ “ชัวร์” (วิบากกรรมแท้ๆ)

บรรดาสถานที่สุ่มเสี่ยงเป็นแหล่งแพร่เชื้อ เช่น โรงเรียนกวดวิชา ที่ถูกสั่งปิด 2 สัปดาห์ ก็ ดิ้น กันสุดฤทธิ์ บอกรัฐบาลเข้าใจ “ผิด” ถ้าโรงเรียนกวดวิชาผิดจริง ป่านนี้ คงมีคนติดเป็นแสนๆ และออกมาแถลงกันโครมใหญ่

อันนี้ไม่ได้ว่าใคร สถานที่ใด ที่เป็น Public Place ที่สาธารณะมันก็เป็น “แหล่งกระจากเชื่อทั้งสิ้น” จะเกมส์ตู้ เกมส์ร้าน หรือบ้านที่มีคนอยู่หลายคน โรงเรียนกวดวิชาจะมาบ่นนั้นไม่สมเหตุสมผล “คน” ต้องรับความจริง

เรื่อง “หวัดใหญ่” ถือว่า “หละหลวม” ตั้งแต่ “ต้นตอ” ตอนมันยังไม่เข้ามาในบ้านเรา ก็ไม่รู้จักหามาตรการป้องกันรัดกุม พอเข้ามาแบบ “รัวๆ” คนจัดการ (รู้กันอยู่ว่าใคร) เลยมั่วๆ ไปไม่ถูกหนักๆ เข้า “เอามันแค่ยอดคนป่วยเพิ่ม ยอดคนตายเพิ่ม” แต่ล้มเหลวเรื่องมาตรการ

รัฐบาลบอกจะรอให้ตายถึง 1.5 ล้านคน ค่อยปิดประเทศ แม่เจ้า!! นานไปมั้ย ดูเม็กซิโกสิ ปิดประเทศหยุดกิจกรรมเศรษฐกิจไม่เท่าไร่ทำไมข่าวเริ่มเงียบหาย คนตาย...น้อยลงทันตา

จะลองดู “จีน” บ้างก็เข้าท่า ใครป่วยเกิน 37.5 องศา ห้ามลงจากเครื่องมาแพร่เชื้อ เด็ดขาดแบบนี้ก็ดี ป่านนี้ยังไม่มีคนตาย !!

-ทิชา สุทธิธรรม-
**************************************