วันพฤหัสบดีที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

สยามรัฐ 27 กพ. 2552

หลายวันก่อน ดิฉันบังเอิญมองเห็นอุปกรณ์ชนิดหนึ่ง สามารถให้แสงสว่างได้และฟังวิทยุก็ได้ในเวลาเดียวกัน เรียกว่า “ไฟฉายวิทยุ” ด้านนอกจะเห็นองค์ประกอบของความเป็นวิทยุมี AM / FM ชัดเจน ด้านบนเป็นหน้าปัดไฟฉายที่ใหญ่กว่าปกติเล็กน้อย กำลังวัตต์คงสูงอยู่ เพ่งดูแล้วชวนให้นึกว่าเออ! มันทำได้หลายอย่างดีนะ ถือเป็นอุปกรณ์แบบผสมผสาน ภาษาหรูหน่อยเรียก “บูรณาการ” ทำหลายๆ อย่างแบบสอดแประสานกัน

ไอเดียเลยบรรเจิด เพราะบ้านเรา ณ หัวหิน ได้เกิดการประชุม “อาเซียซัมมิต” ขึ้น ซึ่งก็ดีที่ประเทศในกลุ่มอาเซียน บวก3 จะได้ปรับทิศทางฟื้นฟูเศรษฐกิจไปในทางเดียวกัน ที่ค่อนข้างชัดเจน นั่นคือ กำลังจะมี “กองทุนอาเซียน” ขึ้น ที่ประเทศในเอเชียจะลงขันกัน ตามกำลัง 20 เปอร์เซ็นต์ ส่วน “กลุ่มบวก3” ที่เงินหนาหน่อยก็ลงมากหน่อย 80 เปอร์เซ็นต์ น่าเสียดายที่ “อดีตเสือ” อย่าง “สิงคโปร์” รู้ตัวตั้งแต่เนิ่นๆว่าไม่ไหว ไม่พร้อมเจียดเงินใส่เข้ามาในกองทุน เพราะขาดดุลการลงทุนไปหลายหมื่นล้าน เอาน่า.....ไม่ว่ากัน “กันไว้ดีกว่า รู้ตัวช้าเดี๋ยวล่มจม” “มัชฌิมาปฏิปทา” น่ะดีแล้วมากไปก็ทุกข์ น้อยไปก็เป็นทุกข์อีก

ประเทศไทยเรากำลัง “บูรณาการ” ในหลายๆ เรื่อง เริ่มจากสิ่งที่ทำให้คนไทยทุกข์ร้อนมากๆ ก่อน ตั้งแต่การไม่มีงานทำ ถูกเลิกจ้าง เพราะไลน์การผลิตมันจำเป็นต้องลด เนื่องจากไม่มีคำสั่งซื้อเข้ามา (NO ORDER) ก็เห็นมีเงินจัดสรรจะให้ภาคแรงงาน 6,900 ล้านบาท เพื่อฝึกอบรมทักษะคน (ซึ่งจะละลายแม่น้ำหรือเปล่าก็ไม่รู้) แต่อาจจะดีกว่าเฉยๆ

น่าจะต้องมีการ Classify หรือมองภาพคนและแบ่งได้ว่าเขาผู้ตกงานผู้นั้น ต้องการอะไร ฝึกทักษะแบบไหน เหมาะสมกับการรองรับงานอย่างไร ต้อง “บูรณาการ” กับหน่วยงานในท้องถิ่นหลายๆ ประเภทด้วยไม่ใช่โยนเงินให้ แต่ไม่บริหาร และตามผลงาน

หาก “บูรณาการ” คือ การทำอย่างสอดประสานและมีสติ “คิดดี” “(สัมมาทิฐิ : ความเห็นชอบ)” เมื่อรวมกับ “ทำดี” “สัมมากัมมันตะ: การงาน, การกระทำชอบ” “ปัญญา” ปัญญาก็จะเกิดตามมาเหมือน “ไฟฉายวิทยุ” ที่กระบอกหนา แต่ทำหน้าที่ “ส่องแสง – แรงวัตต์ – ชัดเสียง” ทนแรง “เหวี่ยง” แถม “ถ่องแท้” แก้ด้วย “หลักการ” ....

-ทิชา สุทธิธรรม-
*********************************

เลือกที่จะเป็น Choose to be

สยามรัฐ 26 กพ. 2552
เวลาที่ตัวเราเองหรือคนรอบข้าง นึกน้อยเนื้อต่ำใจในโชคลาภวาสนาขึ้น เรามักพาลนึกไปว่า “เหตุใดเล่า ฟ้าดิน จึงลำเอียง ไม่เห็นจะเนรมิตสิ่งดีๆ ให้บังเกิดขึ้นในชีวิตบ้างเล่า” พออาการหนักเข้าหน่อยก็พลันตีอกชกหัวตัวเอง แล่นไปทำบุญเป็นพัลวัน ที่ไหนได้ เขียนลีสต์คำขอซะเป็นกระบุงโกย ลองฟังคำพระรูปนี้ ผู้ซึ่งเคยมีอดีตที่ขมขื่นกว่าท่าน (พระครูปลัดสิทธิวัฒน์ : หลวงพี่น้ำฝน) ดูบ้าง แล้วท่านจะคิดใหม่เป็นสิ่งที่บุพการีสอนท่าน จากนั้นก็ผ่านการจดจำ และกลั่นกรองเพื่อสอนคน
“คนเราแม้เลือกเกิดไม่ได้ แต่เลือกที่จะเป็นคนดีได้
ถ้ามองสูง เรายังขาด หากมองต่ำ เรายังเกิน
ยังไม่จน อยู่อย่างคนจน จะไม่มีวันจน
ยังไม่รวย อยู่อย่างคนรวย จะไม่มีวันรวย”

แปลความโดย ทิชา สุทธิธรรม ว่า

“We cannot choose to born, but choose to be,
With over-expectation we lack, and with under-expectation, we’ll find ourselves too much gaining,
The rich live poorly while the poor live richly,
the former servive.”

ชีวิตน่ะ ไม่มีลิขสิทธิ์ในการคิดทบทวน คิดแง่บวกๆ ให้ตัวเองบ้าง ก็ไม่มีใครว่า เลิกน้อยใจ
ในโชคชะตาและฟันฝ่าด้วยความดี “นี่” สิคนจริง

- ทิชา สุทธิธรรม-
******************************

วันอังคารที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

Sleepless Giant ยักษ์ใหญ่ไม่หลับ

สยามรัฐ 25 กพ. 2552
เคยสังเกตมั้ยค่ะว่าเหตุใด คนรวยมักจะรวยขึ้น คนจนก็มักจะจนอย่างเดิม หรืออาจจะจนลงมากกว่าเดิม ประเทศที่พัฒนาแล้วก็เห็นพัฒนาได้เจริญก้าวหน้ายิ่งๆ ขึ้นอย่างสหรัฐ จีน ส่วนประเทศที่ยากจน อย่างโซมาเลีย เอธิโอเปีย ก็ยังคงยากจน แร้นแค้น อ่อนด้อยทั้งความเจริญ เทคโนโลยี คุณภาพชีวิต

ความโชคดีประการหนึ่งที่พอจะตอบได้ นั้นคือ คนรวย หรือประเทศที่ร่ำรวย นั้นมีสายป่านที่ไกลกว่า เมื่อเงินทุนถึง ความเจริญก็มา(เงินมางานก็เดิน) อานิสงส์ที่ได้จากการมี “เงินทุน” แล้วนำมา “ต่อทุน” นั้นไม่จบไม่สิ้น นี่ก็เป็นเหตุผลได้ประการหนึ่ง แต่ไม่ใช่เหตุผลทั้งหมด

กรณีศึกษาที่เกิดขึ้นกับประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนจีน ซึ่งขอเรียกว่า
“ประเทศจีน” ณ เวลานี้เป็นช่วงที่ผู้นำประเทศกำลัง “ง่วน” อยู่กับการเยือนต่างประเทศ ประธานาธิบดี หู จิน เทา กำลังเดินทางเยือนทวีปแอฟริกา 4 ประเทศ คือ มาลี เซเนกัล แทนซาเนียและมอริเซียส 4 ประเทศ ที่ถูกมองว่ามีทรัพยากรมีค่าที่น้อย ถ้าเทียบกับประเทศอื่นๆ ในแถบนี้ แต่จีนก็ยังต้องไปเยือน “เพื่อภาพลักษณ์” เพราะหากมัวแต่ไปประเทศที่มั่งคั่งมีสินแร่มากมาย จะกลับกลายถูกมองเป็น “นักแสวงหาผลประโยชน์”

แต่ก็ได้ประโยชน์มาไม่น้อยจากการเป็น “ยักษ์ใหญ่ผู้ตื่นอยู่เสมอ” เพราะแค่ขี้หมูขี้หมา จีนทำข้อตกลงทั้งเรื่องเงินทุน ลงทุนร่วมกัน ช่วยเหลือเรื่องสาธารณูปโภคกับเซเนกัลมาไม่น้อย และเซเนกัลที่หลายประเทศมองข้ามก็ยังมี แร่เหล็ก ทองคำ ให้ขุดได้อีกเหลือเฟือ ในขณะที่ประธานาธิบดีเยือนแอฟริกา รองประธานาธิบดีก็ไม่น้อยหน้า “สี จิ้น ผิง” ก็เดินทางไปเจรจาในเรื่องการค้า การลงทุนกับเวเนซุเอลา ซึ่งก็ประสบความสำเร็จ อย่างงดงาม มีการลงนามความตกลงกันได้ถึง 12 ฉบับ โดยเนื้อหาหลักๆ ที่จีนจะเป็นผู้ให้กู้เงิน เพื่อแลกกับการนำเข้าน้ำมันมากขึ้นจากเวเนซุเอลา (เป็น 1 ในประเทศผู้ผลิตน้ำมันเพื่อการส่งออก OPEC) และจีนก็ยังกระทำการแบบเดียวกันนี้ด้วยกับประเทศรัสเซียด้วยเหตุผลทางการค้า เพราะรัสเซียสามารถส่งออกน้ำมันได้เบอร์ 2 ของโลก แม้จะอยู่นอกกลุ่ม OPEC แค่รัสเซียส่งน้ำมันให้จีนประเทศเดียว ก็ไม่ต้องเหนื่อยหาตลาดไปทั้งปีแล้วมีหรือที่จะไม่สนใจ

หาก “วิริยะ” คือ “ความเพียรพยายาม” ก็ต้องไม่มองข้าม “ยักษ์ใหญ่” อย่างจีนที่ยอม “อดทน” ในความเพียร (อตุสาหะ) จนได้ดีเป็น “ยักษ์ใหญ่ผู้ไม่เคยหลับ” ในยามเศรษฐกิจ “หลับไหล” ย่อม บินไกล หลายพันไมล์กว่า ยักษ์ใหญ่ ที่ลืม “ขับ” เพราะ “หลับ” เพลิน ...

-ทิชา สุทธิธรรม-
******************************

วันจันทร์ที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

รู้แน่ แม่รัก

สยามรัฐ 24 กพ. 2552
“มนุษย์ทุกผู้ ทุกตนใดเล่า เมื่อได้ก่อร่างสร้างชีวิต ดวงจิตจะรับรู้ถึงความเป็นแม่” ดิฉันเชื่อว่าทุกคนที่เป็นแม่คนคงรู้สึกไม่ต่างกันในความรักที่มีต่อลูก แม่บางคนถูกมองว่าสอนลูกไม่เป็นจะด้วยความต่าง Generation ต่างวัย ต่างการใช้ชีวิต หลายเหตุผลที่ทำให้ชีวิตแม่ –ลูก บางครอบครัวบอบบางและไม่หวานจิต แต่ทุกก้อนของความคิด “แม่” ทุกคน “รักลูก”

“รักใดเล่า รักแน่ เท่าแม่รัก
ผูกสมัคร ลูกมั่น มิหวั่นไหว
ห่วงใดเล่า เท่าห่วง ดังดวงใจ
ที่แม่ให้ แก่ลูก อยู่ทุกครา

(พระครูปลัดสิทธิวัฒน์ : หลวงพี่น้ำฝน)

This love is great when mom gives,
This gift is great when mom drives,
Mom tightly binds you in her mind,
Put you high kindly cos she cares.
(ถอดความโดย ทิชา สุทธิธรรม)

- ทิชา สุทธิธรรม-
************************************************

วันอาทิตย์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

จิตตะของขุนคลัง

สยามรัฐ 23 กพ. 2552
และแล้วเรื่องราวอันเกรียวกราว (แต่ฉาวโฉ่) ของขุนคลังญี่ปุ่น โชวิจิ นาคากาวะ ก็ถึงทางตันในแบบที่เดาได้ จากเหตุการณ์มึนเมาสนั่นโลกจากเวทีการประชุมจี 7 ที่สลึมสลือ ตอบผิดตอบถูก และแก้ตัวแบบไม่ค่อยเนียนว่าทานยาแก้ปวดเป็นเหตุ จากนั้นก็ทำทีว่าเข้าโรงพยาบาลสักหน่อย เพื่อแสดงว่า “ผมป่วยจริง” แต่หลังจากนั้นความจริงก็ปรากฎ เมื่อเจ้าตัวรับสารภาพว่า ดื่มไวน์ก่อนประชุมไป 8 แก้ว เป็นงั้นไป

ผู้อ่านเห็นด้วยมั้ยค่ะว่า ใจหนึ่งก็นึกตำหนินิดๆ “เป็นถึงรัฐมนตรีคลัง” ที่แบกหน้า แบกตา ของประเทศญี่ปุ่นไม่ใช่น้อย น่าจะมีความเอาใจใส่ต่องานมากกว่านี้ (จิตตะความเอาใจใส่ต่อหน้าที่) ดังเช่น หลักธรรม อิทธิบาท 4 คือ
* ฉันทะ – ความพอใจ รักงาน * วิริยะ – ความเพียรพยายาม
* จิตตะ – ความเอาใจใส่ * วิมังสา – การใคร่ครวญหาเหตุผล

แต่พอคิดใหม่ก็เริ่มเห็นใจ เมื่อเริ่มมองเห็นว่าจุดจบลางๆ จากเหตุแรกเริ่มที่ไม่ดี ผลจึงดีได้ยาก เลยเริ่มให้คะแนนยกย่อง “วีรบุรุษหน้าบาง” ที่ตัดสินใจ ลาออกกู้ภาพลักษณ์ !! เค้าคนนี้ถูกมองว่ามีส่วนทำให้คะแนนนิยมในรัฐบาลนายกรัฐมนตรี ทาโระ อาโสะ เสื่อมถอยเหลื่อไม่ถึง 10 % (ซึ่งน้อยจนไม่น่าจะอยู่รอดได้นาน)

จากภาวะเศรษฐกิจของประเทศที่ย่ำแย่หนักเป็นทุนเดิม GDP ไตรมาส 4 ปี 2551 ติดลบ
3.3 % เข้าสู่ภาวะถดถอย Recession เต็มตัว เพราะ GDP ลดลงถึง 3 ไตรมาสติดต่อกัน การส่งออกที่ทรุดหนัก จากเสาหลักรถยนต์ที่เคยส่งออกได้ในปริมาณมาก อย่างโตโยต้า ก็ออกอาการฝืดหนัก เพราะผู้ซื้อรายหลักอย่างประชากรสหรัฐกลับเป็นกลุ่มที่ปฏิเสธการบริโภค เพราะยังอยากเจียดเงินอันน้อยนิดที่เหลือไปซื้อข้าว เช่าบ้าน ผ่อนบัตรเครดิต จะมามองตลาดยุโรป ก็เจอกำแพงชาตินิยมที่มักจะซื้อรถยนต์ที่ผลิตจากผู้ประกอบการในยุโรปด้วยกัน แถมสถานการณ์การเงินการธนาคารก็ร่อแร่ รอวันรัฐบาลมาซื้อเป็นสมบัติรัฐ (Nationalization) เช่น แบงค์ในเยอรมนี ฝรั่งเศส อังกฤษ ยังพ่วงด้วยการอ่อนค่าลงของเงินยูโร ซึ่งยิ่งสะท้อนว่ารับไวรัสมาจากสหรัฐเต็มๆ

สรุปคือ นี่คือขาลงของญี่ปุ่น และรัฐบาลญี่ปุ่นอย่างเป้นได้ชัด ที่นอกจากปัญหาเศรษฐกิจกายภาพอันยากเกินเยียวยา กลับมีตัวแปรอย่างขุนคลังท่านนี้มาทำปฎิกิริยากระตุ้นผลลัพธ์ได้เร็วขึ้น จึงเป็นภาวะที่ “ไม่ลาออก - ก็แย่” “ลาออก - ก็ยิ่งแย่” แต่ยังช่วย “สร้างภาพ” ได้บ้าง แม้จะค่อนข้างเป็นภาพ “ลวงตา” มานาน เรื่องเล็ก – น้อยนิด มหาศาลแบบนี้ไม่เคยปราณีใคร ประเทศไทยก็อาจเข้าข่ายมากซึ่งภาพ(ลักษณ์)ลวงตา น้อยซึ่งคนหน้าบาง ครม.ที่มีดีเฉพาะอย่าง
“ดี” ตรงที่ยังไม่ “เมา”

-ทิชา สุทธิธรรม-
*******************************************************

วันพุธที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

รู้รัก อย่างมีสติ

สยามรัฐ 19 กพ. 2552


เทศกาลแห่งความรักผ่านไปแล้วล่ะค่ะ แต่ดิฉันยังอยากนึกถึงอยู่ไม่ใช่ว่าความรักล้นใจหรอกนะค่ะ แค่นึกถึงว่า บางทีคำจำกัดความของเทศกาลอันฉาบฉวยอาจจะมีความสำคัญ ถ้าพิเคราะห์ลงรายละเอียดจะมากหรือน้อยก็อยู่ที่เราให้คุณค่ากับมันค่ะ ถ้าใช้จังหวะและโอกาสวันสำคัญมาเตือนสติตัวเองได้บ้างก็จะดีไม่น้อย

“จงเตือนตน ของตน ให้พ้นผิด
ตนเตือนจิต ตนได้ ไม่เลื่อนเปื้อน

ตนเตือนตน ไม่ได้ ใครจะเตือน
คนแชเชือน ใครจะช่วย ให้ป่วยการ”
(พระครูปลัดสิทธิวัฒน์ : หลวงพี่น้ำฝน)
“Be careful and warn yourself,
Be careful and warn your mind,
Guard your life with your own sub-conscious mind,
It is you who are not get hunt and blinded.”
(แปลความโดยทิชา สุทธิธรรม)

จะกี่เทศกาลผ่านมาแล้วผ่านไปย้ำเตือนใจน่ะทำได้(ถ้าจะทำ) แต่ชนะใจน่ะ...ทำยาก...ถ้าอยากรู้ ต้องลองดูค่ะ

ทิชา สุทธิธรรม
************************************************

วันอังคารที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

"ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว" ชีวิตพี่เพียงพอและพอเพียง

สยามรัฐ 18 กพ. 2552
กว่าที่คอลัมน์อีโคโนมิกธรรมฉบับนี้จะตีพิมพ์ ดิฉันคาดว่าเราคงจะได้ข้อสรุปเรื่องของเงิน 2,000 บาท ที่จะตกลงถึงมือผู้มีสิทธ์ประกันตนกันเรียบร้อยเสียทีว่าจะเป็นการให้ในรูบแบบของการโอนผ่านธนาคารหรือว่าเป็นเช็คเงินสด โดยส่วนตัวก็เห็นว่าเอาน่ะไหนๆ เขาก็จะให้แล้วอะไรก็ได้ที่ให้ประชาชนได้แบบเต็มเม็ดเต็มหน่วยเป็นอันใช้ได้ แต่บอกตามตรงจากความเห็นส่วนตัวเลยค่ะไม่เคยคิดว่าการให้เงินแบบนี้จะช่วยแก้ปัญหาเศรษฐกิจได้ในระยะยาว แต่ถ้ารัฐบาลมองว่าคุ้มที่จะกระตุ้นให้เกิดการบริโภคในระยะสั้นๆ ให้เกิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจจิตวิทยานี้ก็คงพอมองเห็นผลลัพธ์บ้าง
กระแส “โลกาภิวัฒน์” กฎการเคลื่อนย้ายของการลงทุนที่สร้างโอกาสให้กับนานาประเทศนับไม่ถ้วน เกิดการเปิดตลาด การเปลี่ยนมือของกลุ่มทุน การเกื้อหนุนซึ่งกันและกันของอุตสาหกรรมกลุ่มต่างๆ ส่งออก – นำเข้า – รับจ้างผลิต ความเจริญที่มาพร้อมกับการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่เราเคยเรียกร้องอยากจะได้ (โลภะ) พอได้แล้วติดใจอยากให้อยู่กับเรานานๆ (โมหะ) กลายเป็นสิ่งที่หลายประเทศกำลังคิดทบทวนว่า “ถึงเวลาแล้วหรือยังที่จะพึ่งพาระบบทุนนิยมเสรี” ที่ว่านี้ให้น้อยลง เพราะวิกฤตครั้งนี้แตกต่างจากปี 2540 สมัยต้มยำกุ้งที่ประเทศไทยฟองสบู่แตก ทั้งหนี้เน่า – หนี้สินท่วมตัวและได้แพร่ความเสียหายไปสู่เพื่อนบ้านของเราย่านเอเชียไม่ว่าจะเป็นมาเลเซีย อินโดนีเซีย เกาหลี ญี่ปุ่น แต่ไม่อาจแพร่ไปถึงสหรัฐ สหภาพยุโรป (พูดง่ายๆ เราหายนะ แต่เขาชนะ) ซึ่งทำให้เรายังพึ่งพาการส่งออกจากเขาได้อยู่ แต่ในครั้งนี้ความจวนเจียนจะล่มสลายของระบบการเงินโลกที่เริ่มก่อหวอดมาจากสหรัฐอเมริกาตัวแม่ ตลาดส่งออกที่เคยเป็นของจริง ของแท้ แต่ดั้งเดิมของเราเลยแย่เหมือนหันหมด เมื่อเป็นแบบนี้ก็ไม่สามารถพึ่งพาระบบทุนของโลกได้อีกต่อไป Campaign ที่ประเทศส่วนใหญ่ใช้กันในตอนนี้เลยกลายเป็น “เลิกพึ่งพาส่งออก ให้พึ่งตนเอง” (อัตตาหิ อัตโนนาโถ) หรือตนเป็นที่พึ่งแห่งตน เช่น จีนรณรงค์ให้ประชาชนรักการออกเงินมากขึ้น และกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศอย่างมากไม่เว้นแม้แต่ในชนบท ตั้งแต่ส่งเงินไปอุดหนุนให้ชาวบ้านเอาไปซื้อเครื่องให้ไฟฟ้าที่ผลิตโดยผู้ประกอบการจีน เพื่ออุตสาหกรรมแขนงนี้จะได้ขยายตัว และเปลี่ยนตัว CEO ของเลอโนโว จากชาวอเมริกันกับมาเป็น หยาง เหยินซิง ชาวจีน เพราะเห็นว่าการเร่งกำลังบริโภคในประเทศ ณ ยามนี้ สำคัญกว่าการเอาใจตลาดต่างประเทศหรือที่อินเดียก็จะมีการเก็บภาษีผู้ประกอกการที่นำเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศสูงขึ้น เพราะถือว่าประเทศเสียผลประโยชน์ ไม่แตกต่างกับประเทศไทยที่เดาได้ว่าทั้งปีนี้ตัวเลขการส่งออกก็จะยังติดลบ คนไทยก็เริ่มรู้จักกับ “ความพอเพียง” (Sufficiency Economy) กันมากขึ้น เพราะตะเกียกตะกายไปในวันที่สายป่านยาวไม่ถึงหวังพึ่งตลาดใหม่ก็เลือนลางลองหันมามองการเกษตรดูบบ้างถึงจะเป็นของโบราณ แต่ก็เป็นอู่ข่าว อู่น้ำ ชั้นดีที่เพียงพอและพอเพียง
-ทิชา สุทธิธรรม-
**********************************

วันจันทร์ที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

แด่ใจทุกดวงที่หวงเก้าอี้

สยามรัฐ 17 กพ. 2552
คุณผู้อ่านเคยรู้สึกมั้ยค่ะ ว่าในครั้งหนึ่งที่ชีวิตเราขึ้นสูงแบบสุดๆ เราจะรู้สึกว่าตัวเราเบาเหมือนปุยนุ่น ไม่ว่าจะทำอะไรก็รู้สึกว่า “ฟ้าเปิด งานเข้า เจ้านายรัก” ชีวิตมันช่างดีเสียนี่กระไร วันไหนๆ ก็ช่างเป็นวันของเรา ... เฮ้อ... มีความสุขน่ะมันก็ดี แต่ความแฮ็ปปี้อย่างว่า จะอยู่กับเรานานวันมั้ย ใครจะตอบได้ ดังนั้นถ้ามองอย่างมีสติ เมื่อใดที่สุขใจมากๆ เหมือนกราฟชีวิตได้พุ่งทะยานถึงจุดสูงสุดนั้นล่ะค่ะ เป็นจุดที่ต้องยิ่งระวังและตั้งหลักรอวันที่จะเผชิญกับความทุกข์อีกรอบ
“เมื่อได้ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข
ให้เสกคาถาว่า เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป
เมื่อสิ่งเหล่านี้เสื่อม จะได้ไม่ทุกข์ทรมานใจ”
(หลวงพี่น้ำฝน)
ถอดความได้ว่า
“To realize human life cycle is to lead you over all sufferings. Once on one
success is gradually resumed and down helplessly. Yet, it is the matter of fact.”
อยากหวงแหนหรือกอดเก็บเก้าอี้ไว้นานๆ ก็ย่อมได้ แต่ถ้ายึดมั่น ถือมั่นจนเกินไป จะดึงชีวิตและจิตใจให้ต่ำลง
ทิชา สุทธิธรรม
************************************************

วันอาทิตย์ที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

อย่าลืมดิน ถิ่นกำเนิด

สยามรัฐ 16 กพ. 2552
“ชีวิตความเป็นอยู่ของคนเราสมัยนี้สุดแสนจะลำบากและฝืดเคือง” ไม่แปลกหรอกค่ะที่ประชาชนคนธรรมดาอย่างเราๆ ท่านๆ จะรู้สึก เพราะต่างก็โดนมรสุมเศรษฐกิจกันทั้งนั้น บางคนแค่เซ บางคนเสื้อผ้าปลิวกระเซอะกระเซิง บางคนถูกลมพัดจนบ้านพัง ขนาดพวกเรายังรู้สึก “ติดร่างแห” ไปด้วยลองคิดดูกลุ่มคนที่ลำบากกว่าเราสิค่ะ “พี่น้องเกษตรกร” เขาจะอยู่อย่างไร ดิฉันมีโอกาสได้ติดตามทฤษฎี “2 สูง” (สินค้าเกษตรกรราคาสูง – เงินเดือนสูง) ของดร.ธนินท์ เจียรวนนท์ มาตลอดและได้ถือโอกาสนำความรู้ที่ได้จากการบรรยายครั้งล่าสุดของท่านในห้วข้อ “การพัฒนาเกษตรกรไทยให้มีความกินดีอยู่ดี” มาบอกเล่า เกษตรกรไทยกลุ่มที่เป็นรากเหง้าบรรพบุรุษของเราแต่ดั้งเดิมที่กำลังจะถูกลืม เมื่อต้นปี 2551 เป็นช่วงที่สินค้าโภคภัณฑ์มีราคาสูงขึ้นอย่างมากน้ำมันราคาสูง โภคภัณฑ์ก็ราคาสูงตาม เริ่มตั้งแต่ข้าว น้ำมันปาล์ม หมู น้ำตาล ตอนนั้นคนไทยวิตกอย่างมากว่าต้องจ่ายค่าอาหาร ค่ากับข้าวแพงมากขึ้นแล้วพาลคิดไปว่าช่วงนั้นคงเป็นช่วงกอบโกยของเกษตรกร คนไทยที่ใจกว้างหน่อยก็พอคิดในแง่ดีว่า ช่างเถอะ นานๆทีเกษตรกรจะได้ลืมตาอ้าปากได้บ้าง เพราะ 10 ปี 20 ปีมา ราคาพืชผลเกษตรกรก็ไม่ดีขนาดนี้ ลำบากทั้งชีวิตก็ควรจะมีกำลังใจกันบ้าง
รู้สึกดีใจอยู่ได้ไม่นาน “Honeymoon Period” ของเกษตรกรก็ต้องสิ้นสุดลงแค่ไม่ทันข้ามปี จะด้วยการตกลงอย่างแรงของระบบเศรษฐกิจโลกหรือความตื่นกลัว (Panic) ของคนที่เกี่ยวข้องกลัวความนิยมตกลงตามภาวะเศรษฐกิจยิ่งโหมกระพือโครงการกู้ศรัทธาจากประชาชน แต่กลับทำให้ราคาข้าว หมู พืชเกษตรหลายชนิดตกต่ำ เกษตรกรที่เลี้ยงไก่กำไรต่อตัวแค่ 20 บาท ถ้าเลี้ยงสัก 100 ตัว ต่อเดือนกำไรก็แค่ 2,000 บาท แถมที่ดินก็มีจำกัด ไหนจะต้องแบกภาระครอบครัวอีก นอกจากราคาสินค้าเกษตรอย่างเนื้อสัตว์ ข้าว จะร่วงแล้วคนปลูกยางพารา ปลูกมันสำปะหลัง ยิ่งแย่ใหญ่ เพราะปัญหาเศรษฐกิจโลกชะลอตัวก็ทำให้คนไม่ซื้อรถ บางคนอยากซื้อแต่ไฟแนนซ์ไม่ปล่อย ตลาดรถฟุบ , ลดไลน์การผลิต ปิดโรงงาน ลดคนงาน ซัพพลายเออร์ที่ทำล้อรถยนต์สะเทือนหนักยางพาราก็ราคาตกเอาๆ ปีที่แล้วกิโลกรัมละ 70 บาท ปีนี้เหลือไม่ถึง 30 บาท
เห็นมั้ยค่ะ ชีวิตเกษตรกรไม่ง่าย ยังขาดแคลนหลายสิ่งขาดเทคโนโลยี ขาดตลาด ขาดเงินทุนก็สำคัญ เกษตรกรน่ะ อยากจะขอกู้เงินมาเป็นน้ำเลี้ยงกันใจจะขาดแต่กลับถูกธนาคารมองว่าเป็นกลุ่มที่ถ้าปล่อยกู้มาให้แล้วคงมีความเสี่ยงที่จะเป็น “หนี้เสีย” สูง ก็แล้วเกษตรกรจะมีเครดิตได้อย่างไรในเมื่อพืชผลเกษตรยังราคาตก เปรียบเทียบง่ายๆ กับเกษตรกรญี่ปุ่นล้วนๆ ไม่ใช่แง่ของธุรกิจหรือนายทุน เชื่อมั้ยค่ะชาวนาญี่ปุ่นถูกยกย่องประดุจซามูไร เพราะเป็นกระดูกสันหลัง คนญี่ปุ่นยกย่องส่งเสริมอุตสาหกรรมการเกษตรกันสุดตัว นอกจากญี่ปุ่นจะไม่สั่งสินค้าเกษตรจากนอกประเทศ เพื่อให้เกษตรกรญี่ปุ่นรับรายได้เต็มๆ แล้วยังสร้างมูลค่าเพิ่มให้สินค้าเกษตร เช่น ข้าว ในแต่ละตำบลมีสี – กลิ่น แพคสวยงาม ไม่ต้องแปลกใจค่ะถ้าจะเห็นชาวนาญี่ปุ่นท่องเที่ยวรอบโลกได้ก่อนประเทศอื่น นี่ล่ะอานิสงส์ของการรำลึกถึงบุญคุณชาวนา
“พระพุทธองค์ ตรัสสอนว่า บุตรและธิดาทั้งหลาย
ต้องมี กตัญญุตา คือ รู้คุณท่านบำรุงพระคุณของทานให้มีความเจริญ”

**********************************

วันพฤหัสบดีที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

ตกหลุมรักสำคัญไฉน


สยามรัฐ 13 กพ. 2552
พรุ่งนี้ เป็นวันวาเลนไทน์วันแห่งความรัก เกือบจะกลายเป็นค่านิยมของคนทั้งโลก อย่าเพิ่งสงสัยเลยค่ะว่าทำไมคอลัมน์เศรษฐกิจจะนำมาผูกโยงกับเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ได้ เคยได้ยินได้ฟังกันบ้างมั้ยค่ะ บิ “เมื่อความ จน เข้ามาทางประตู ความรัก ก็จะบินออกไปนอกหน้าต่าง” บางคนอาจจะคิดว่าดิฉันมองโลกในแง่ร้ายหรือคิดอะไรในเชิงวัตถุนิยม (Materialistic) มากเกินไป แต่คุณจะต้องคิดใหม่ค่ะ ถ้าดิฉันจะอ้างอิงข้อมูลทางเศรษฐกิจของประเทศอินโดนิเซีย ที่ก็โดนพิษเศรษฐกิจสะบักสะบอม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องแรงงานอินโดนีเซียที่เข้าไปทำงานในมาเลเซียเป็นจำนวนมากถึงกว่าหลักแสนคน ซึ่งก็ต้องยอมรับสภาพตกงานจากนโยบายอันเข้มงวดของรัฐบาลมาเลเซียที่ออกกฏจำกัด การจ้างแรงงานต่างชาติ เพื่อเก็บตำแหน่งงานไว้รองรับแรงงานชาวมาเลเซีย ซึ่งเป็นเจ้าของประเทศและเพื่อไม่ให้เกิดการแย่งงานคนพื้นถิ่น นอกจากนี้เรายังพบเห็นสภาพสถาบันครอบครัวอินโดนีเซียที่เริ่มสั่นคลอนจากสถิติการหย่าร้างที่เพิ่มจาก 20,000 คู่ เป็นกว่า 200,000 คู่ ในรอบ 10 ปี โดยสาเหตุหลักนอกเหนือไปจากทัศนคติไม่ตรงกัน เห็นจะเป็นเรื่องความเครียดจากภาวะเศรษฐกิจนั่นเอง
อีกหนึ่งประเทศที่อยากจะกล่าวถึง คือ สิงคโปร์ ซึ่งเริ่มก้าวเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถอดถอยเป็นประเทศที่ 2 ในเอเชียรองจากญี่ปุ่น ซึ่งเมื่อไม่นานมานี้ สิงคโปร์เพิ่งออกมาแก้ต่างถึงประเด็น “เก่งเรื่องการผลิตลูก” ที่นานาประเทศยกฉายานี้ให้ จะไม่ให้คิดเช่นนี้ได้อย่างไร คุณผู้อ่านเชื่อมั้ยค่ะว่า ก่อนหน้านี้รัฐบาลสิงคโปร์ทำเกือบทุกวิถีทางให้ประชากรของสิงคโปร์เพิ่มขึ้น ตั้งแต่ขยายเวลาปิดไนท์คลับ สถานที่นัดพบหลังเลิกงาน เพื่อเปิดโอกาสให้หนุ่มสาวมีโอกาสตกหลุมรักแล้วนำไปสู่การสร้างครอบครัว เพราะชาวสิงคโปร์ส่วนใหญ่จะใช้ชีวิตอย่างเร่งรีบท่ามกลางการแข่งขันสูง แถมอัตราหย่าร้างก็มากเป็นเงาตามตัว ผู้คนก็เลยเห็นความสำคัญเรื่องงาน (Task Oriented) มากกาว่าการออกเดท (Dating) เห็นมั้ยล่ะค่ะว่าประเทศที่ประชากรมีคุณภาพแต่หากมีน้อยเกินไป หรือ ขาดแคลนซึ่งดัชนีการตกหลุมรัก (Falling In Love Index: ผู้เขียนคิดเอง) ก็อาจส่งผลต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจได้เหมือนกัน มีมุมมองความรักที่น่าสนใจของกวีเอก “เพลโต” เจ้าของนิยาม Platonic Love ความรักแบบพลาโทนิค ซึ่งหมายถึงความรักที่มากกว่าความใกล้ชิด แต่เป็นความรักที่เชื่อมโยงถึงจิตวิญญาณของคน 2 คน เป็นความรักที่ให้สติ(การรู้ตัว) และสร้างแรงบันดาลใจ ให้รู้จักมองโลกได้อย่างลึกซึ้ง ดิฉันได้แต่แอบคิดไปว่าความรักคงไม่ใช่ทุกสิ่ง แต่ถ้าความรักของคนทั้งโลกเป็นอย่างที่เพลโตว่า โลกเราคงก้าวได้ไกลขึ้นในยุคที่หัวรถจักรไร้ทิศทางเช่นนี้..... เห็นด้วยมั้ยค่ะ...
-ทิชา สทุธิธรรม-
**********************************

วันพุธที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

อิจฉาได้แต่อย่าริษยา

สยามรัฐ 12 กพ.2552
เห็นด้วยมั้ยค่ะ สังคมไทยเนี่ยะดีตรงที่มีความซับซ้อนให้ศึกษามากมาย
“ลมแห่งความอิจฉาริษยา” แทรกซึมไปในทุกสังคมไม่วายเว้น ไม่ว่าจะเป็นวงการมายา หรือ กึ่งมายา หรือ ต่อยอดไกลถึงวงการธุรกิจ ที่ต้องท่องคาถาประจำใจ “อย่าให้ใครดีเกินหน้า” เพราะฉะนั้นไม่แปลกหรอกค่ะที่คุรจะเจอเข้าสักดอกสองดอกเป็น “น้ำจิ้มแจ่ว” พระครูปลัดสิทธิวัฒน์ (หลวงพี่น้ำฝน) ท่อนสอนว่า
“จงทำดี ให้คนอิจฉา ดีกว่าทำชั่วให้คนด่าและสาปแช่ง”
“Do well and be jealous of by others is better than do wrong and turn out badly.”
เปรียบเทียบกับ
“จงทำดี แต่อย่าเด่นจะเป็นภัย ไม่มีใครอยากเห็นเราเด่นเกิน”
คุณล่ะ เลือกที่จะอยู่ในสถานการณ์ใด
-ทิชา สุทธิธรรม-
************************************************

วันอังคารที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

one man show

สยามรัฐ 11 กพ. 2552
“สื่อยามนี้นำเสนอข่าวเชิงลบมาเกินไป” ดิฉันได้ยินเสียงเตือนจากนักวิชาการในทำนองนี้มาบ้าง แต่ไม่รู้สึกอะไรนอกเหนือไปจากการย้อนกลับมามองอาชีพสื่อที่ก็ต้องบอกว่าเห็นใจค่ะ เพราะก็รายงานกันไปตามสถานการณ์ ซึ่งก็เป็นเชิงลบเสียเป็นส่วนใหญ่ เช่น ข่าวการปลดพนักงานที่มีให้เห็นอยู่ทุกวัน ตั้งแต่พานาโซนิค ฮิตาชิ โตชิบา แม้แต่บริษัทที่คอยให้คะแนนความน่าเชื่อถือกับบรรดาบริษัทต่างๆ อย่าง มูดี๊ส์ อินเวสเตอร์ เซอร์วิส ก็พลอยฟ้า พลอยฝน ขาดทุนกำไรกันไปพอสมควร ส่วนย่านเอเชียหลายประเทศที่เคยขึ้นแท่นรอเป็น “เสือ” ตอนนี้ต้องนอนนิ่งๆ เป็น “เสือหมอบ” ไปก่อน เพราะอาจเจออาการคล้ายๆกันหมด เริ่มจากผู้บริโภคในแต่ละประเทศไม่ซื้อสินค้าประเทศต่างๆ ก็ไม่ส่งสินค้าปริมาณมาก การส่งออกเลยใกล้ “ล้มพังพาบ” ลง แม้แต่ประเทศที่มีระบบเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 1 ของโลกอย่างญี่ปุ่น การส่งออกก็ลดลง 35% , อันดับ 2 ของโลกอย่างจีน ลดลง 2.8% ในเดือนธันวาคมเดือนเดียว, เกาหลี ลดลง 32%, สิงคโปร์ ลดลง 20% ส่วนประเทศไทยการส่งออกทั้งปี 2552 มีโอกาสติดลบถึง 15% (ข่าวลบอีกแล้ว) เห็นมั้ยค่ะณ ยามนี้ รัฐบาลไหนของประเทศใดขึ้นมาบริหารก็คงกินไม่ได้ นอนไม่หลับเหมือนกันหมด ทีมเศรษฐกิจไทยก็คงต้องพร้อมใจกันบอกว่าตั้งหลักแล้วดูแนวทางเมืองนอกซิว่า เขาแก้กันอย่างไร เราเริ่มมีแผนแจกเงิน 2,000 บาท ซึ่งคล้ายกับ Tax Rebate สมัยอดีตประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช ของสหรัฐ (แต่จำนวนเงินน้อยกว่า) จากนั้นไต้หวันและญี่ปุ่นก็เริ่มทำบ้างหรือแผนกระตุ้นเศรษฐกิจ (Bail Out Plan) ตั้งแต่ครั้งแรกของสหรัฐก็ทำให้ทั่วโลกคิดทบทวนเรื่องงบประมาณ ไทยเร่งออกงบกลางปี เกาหลี ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย จีน ก็เตรียมแผนกระตุ้นเศรษฐกิจ ตัวอย่างเหล่านี้ชี้ให้เห็นว่ารัฐบาลของแต่ประเทศที่ยังต้องพึ่งพาระบบเศรษฐกิจโลก (ไม่ได้โดดเดี่ยวตัวเองหรือว่าถูกโดดเดี่ยว อย่างพม่าหรือซิมบับเว) ต่างก็ต้องพยายามสลัดความเป็นตัวตนเอาอีโก (Egonism) ออกไป ฟ้งและมองโลกมากขึ้นที่สำคัญจำเป็นต้องพัฒนาตัวเองให้มีทักษะรอบด้านทำตัวให้รอบรู้ แต่ไม่ใช่ รู้ทุกสิ่ง (เพราะ “พหูสูต” มีได้แค่องค์ตถาคต เท่านั้น) ถ้าใช้แนวทางแก้แบบ One Man Show ที่เร็วแต่พลาดเป้า อาจจะเศร้ากว่า “ช้า แต่ตรงจุด” เพราะขนาดใช้กับตัวเอง “เก่งเร็ว ดับเร็ว” ยังมีให้เห็นอยู่ถมไป แต่กับประเทศชาติที่ยิ่งใหญ่ อาจเจอกับความเสี่ยงอย่างไม่ต้องสงสัย ถ้าใช้ One Man Show
-ทิชา สุทธิธรรม-
********************

วันจันทร์ที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

ยิ้มรับความเปลี่ยนแปลง

สยามรัฐ 10 กพ. 2552
ดิฉันได้พยายามจะรวบรวมหลักธรรมคำสอนของหลวงพ่อน้ำฝน (พระครูปลัดสิทธิวัฒน์) เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม จากหนังสือเล่มที่มีชื่อว่า “ฝ่าฝนหาฝันในฤดูที่แตกต่าง” หลวงพี่แต่งกลอนสอนคนมีบางบทที่กินใจมาก – มากที่สุด เช่น
“ยามบุญมา กาไก่ กลายเป็นหงส์
ยามบุญลง หงส์เป็นกา น่าฉงน
ยามบุญมา หมาไก่ กลายเป็นคน
ยามบุญหล่น คนเป็นหมา น่าอัศจรรย์”

อะไรๆ ก็เกิดขึ้นได้ “Uncertainty is forever – ness” ความแน่นอนก็คือความไม่แน่นอน เฉกเช่นเดียวกับความเปลี่ยนแปลงคือ สิ่งเป็นนิรันดร์


ฝ่าอุปสรรคแล้วยิ้มรับความเปลี่ยนแปลงกันนะค่ะ
-ทิชา สุทธิธรรม-
*********************************

วันอาทิตย์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

ชีวิตต้องสู้ถึงจะอยู่รอด

สยามรัฐ 9 กพ. 2552
“ความเปลี่ยนแปลงเป็นนิรันดร์” ความจริงอันสากลที่แฝงอยู่ในทุกอณูของการทำธุรกิจ องค์กรใหญ่ บริษัทย่อยที่มีคนเป็นหัวใจขับเคลื่อนตัวสำคัญย่อมต้องปรับตัว ดิฉันได้ความรู้มาจากบริษัทที่ปรึกษาทางธุรกิจแห่งหนึ่งพูดถึง “มิติ” ในการบริหารงาน บริหารคนและมีโอกาสสูงที่จะเป็น “Trend” ใหม่ มนุษย์เงินเดือนที่มีอายุงานยาวนานจะว่าด้วย “ความอาวุโส” (seniority) หรือ อัตตาความมีตัวตนสูง (Econism) ที่ต่างเคยได้ผลตอบแทนตามอายุงานที่แน่นอน “ถึงเวลาได้ ฉันต้องได้” คงต้องยอมรับกับวิธีการ “จ่ายตามผลงาน” (Pay for Performance) ซึ่งหมายถึง ผลลัพธ์ที่ได้ยืนตามเหตุปัจจัย เพราะทุกหน่วยงานต้องจ่ายเงินให้ฉลาดและคุ้มค่าที่สุดกับสิ่งที่จะได้รับ อย่าว่าแต่ประเทศไทยเลย “ญี่ปุ่น” ซึ่งเป็นตัวอย่างที่ดีมากและขึ้นชื่อในเรื่องของการดูแลพนักงานแบบ Lifetime Employment ว่าจ้างกันจนวาระสุดท้ายของชีวิต ก็ยังต้องเปิดโอกาสให้พนักงานลาออกแบบสมัครใจและลดพนักงานไปนับหมื่น ส่วนคนที่อยู่ต่อไปก็ต้องแปลงกายให้ทำได้แบบ Half – full ที่พร้อมเรียนรู้อยู่ตลอดน่าจะเป็นทางรอดที่พอเข้าตาสำรับผู้ที่กำลังจะถูกเลิกจ้างและอยู่ระหว่างทำใจ แนะนำให้ลองฟังเพลง Dao Xiang (เต้า – เซียง) ของ Jay Chau (เจย์ โชว) พร้อมมิวสิควีดีโอแล้วจะมีกำลังใจขึ้นอีกเยอะ ท่ามกลางปัญหาที่ถาโถมจะมีที่ๆ หนึ่งกับสังคมๆ หนึ่งเสมอ ใกล้ตัวคุณที่พร้อมจะรองรับและไม่ซ้ำเติมคุณ ถึงจะเป็นแนว Hip Hop folk song ผสม Rap แต่ก็เตือนสติและให้ข้อคิดได้ สู้...สู้ ค่ะ
-ทิชา สุทธิธรรม-
*************************************

วันพฤหัสบดีที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

ขงเบ้ง เดอะ ฮีโร่

ในสามก๊กกำลังพลแค่หลัก 3 หมื่นของจิวยี่ เมื่อเทียบกับ 3 แสนของโจโฉ ถือว่าห่างกันหลายช่วงตัว ซึ่งถ้าขาด “กลลวง” อันปราดเปรื่องและ “ความใจเย็น – หยั่งรู้” ของ “ขงเบ้ง” แล้ว ทัพเล็กของจิวยี่คงแหลกเป็นจุณ ลองวางตัวละครเล่นๆถ้าเปรียบ “ทิโมธี ไกธ์เนอร์” ขุนคลังผู้ที่จำเป็นต้องหยั่งรู้ ให้ได้เหมือนขงเบ้งจะมีกลลวงเชิงจิตวิทยา หรือ กลไกเชิงคุณภาพประการใดที่จะฟื้นภาคการเงินของเศรษฐกิจสหรัฐได้บ้าง

ในแง่วิชาการถ้าไม่ลดดอกเบี้ยก็คงต้องอุดเงินรัฐเข้าไปซื้อตราสาร, พันธบัตรรัฐบาล หรือหุ้นกู้เอกราชคงพอเป็นไปได้ แต่จิตวิทยาทีเด็ดที่จะคลายเงื่นให้ตัวเองดูเหมืนจะเป็นการแสดงสปิริตรับเงินเดือนครึ่งเดียวเพื่อแก้ต่างไปในตัวว่าไอ้ที่เลี่ยงภาษีเมื่อสมัยทำงาน IMF น่ะไม่ได้ตั้งใจหากแต่มึนๆ ไปนิดหน่อย ยอมเฉือนเนื้อตัวเองแบบนี้ก็เรียกว่า “เป็นงาน” ว่าแต่ว่าจะได้ผลกับกรณีรีดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ภาษีมรดกของรัฐบาลมั้ย นี่สิต้องรอลุ้น

-ทิชา สุทธิธรรม-

วันอังคารที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

Hello world

....First column in Siam Rat...Economy Relates Dhamma....by Ticha Suttitum