วันพฤหัสบดีที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

“เจ้าเงาะ และ ผองเพื่อน”

สยามรัฐ 31 ก.ค. 2552

ดิฉันได้มีโอกาสไปซื้อผลไม้ของพี่น้องเกษตรกรที่หน้าลานคนเมืองกรุงเทพมหานครมาค่ะ ในรายการเช้านี้....ที่หมอชิตนอกสถานที่ ที่นั่นมีมหกรรม “ช่วยไทยซื้อผลไม้ไทย สดจากสวนเกษตรกร” เป็นการระบายสินค้าเกษตรที่ผลผลิตจะออกมามากในช่วง ก.ค. – ส.ค. นี้โดยเฉพาะค่ะพี่น้อง

“มังคุด” ราคากิโลกรัมละ 12 บาท “เงาะ” ราคากิโลกรัมละ 10 บาท ลองกองแบบร่วงๆ แต่กินได้ 7 กิโล 100 บาท ยังไม่ทันจะกว้านซื้อ คุณพี่เกษตรกรก็เชิญชวนปอกเปลือกให้เสร็จสรรพพร้อม “เปิบ” อิ่มตั้งแต่ยังไม่เข้า “รายการ” !! (มากไปก็เป็นทุกข์ น้อยไปก็เป็นทุกข์)

เท่าที่สอบถามต้นทุนราคาของเจ้าเงาะที่มาจากสวน ก็ประมาณ 9 บาท นิดๆ บวกค่าขนส่งมาขายที่กทม. ขายที่ 10 บาท เกษตรกรบอกว่า “เนี่ย มันแค่เท่าทุนนะครับ” แต่ก็ยังเป็นทางเลือกที่ดีกว่า ขายแถวที่สวนแล้วพ่อค้าคนกลางมารับ เพราะนั่นแปลว่าจะได้แค่กิโลละ 7-8 บาท เท่านั้นเอง แปลเป็นไทยแบบไม่สุภาพ คือ “ถูก กดราคา” (Verb to be + Verb ช่อง3) ในอดีตแบบไม่รู้เวลาเกิด ฮะ..ฮ่า (คนละเรื่องกับผงของกรรม)

สรุป คือ ถ้าไม่ขายในปริมาณที่ “มากท่วมหัว” ขาดทุนชัวร์ไม่มั่วนิ่ม นอกจากผลไม้ของ ชาวใต้ ที่ล้นตลาดแล้ว ยังมีประเด็น “องศาที่แตกต่าง” ให้ชวน ขบคิดค่ะ

เนื่องมาจากแผ่นดินที่ตั้งเป็นเหตุ เส้นละติจูด – ลองติจูด จะมาเร็ว – ช้า กว่าทางภาคตะวันออกก็สุดแท้แต่ คนใต้บ่นว่ากว่าผลไม้ใต้จะออกมา คนไทยก็กินของภาคตะวันออกกันจนอิ่มตัวแล้ว

เฮ้อ..... ดูผิดที่ผิดเวลาไปซะหมดแบบนี้เห็นบ่นกันดีนักล่ะเอาเข้าจริง ก็หยอดรัฐมาหน่อยนึง แต่ความหมาย “ซึ่ง” กินใจ “จัดบ่อยๆ นะคร๊าบ ท่านนายกฯ” ผ่าง!!! สู้มั้ยค่ะท่าน
-ทิชา สุทธิธรรม-
**************************************

วันพุธที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

คนคุณค่า

สยามรัฐ 30 ก.ค. 2552

“เอาความดี เป็นแกนกลาง ทางชีวิต
เอาความคิด เป็นเครื่องช่วย อำนวยผล
เอาแรงงาน เป็นกลไก ภายในตน
นี่คือคน คุณค่า ราคางาม”
(พระครูปลัดสิทธิวัฒน์: หลวงพี่น้ำฝน)


“Take Goodness as the center of life,
take thinking method as a tool,
take energy as an inner system,
For all of these, lead you to a man with value”
(ทิชา สุทธิธรรม)

ทิชา สุทธิธรรม
***************************************


วันอังคารที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

เดียวดายใต้จักรวาล

สยามรัฐ 29 ก.ค. 2552

วันก่อนที่คุยว่า “ควันหลง” อันน่าหวาดเสียวในสายตาชาวโลกที่พอจะเก็บตกได้จาก การประชุมสุดยอดรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนนั้นยังไม่หมด เพราะระหว่างที่ฮิลลารี คลินตัน กำลังจะขึ้นแถลงความคืบหน้าความตกลงระหว่างชาติอาเซียนบนโพเดียมที่จัดเอาไว้ให้ “หญิงเหล็ก” ของสหรัฐโดยเฉพาะ

ทันใดนั้น รัฐมนตรีต่างประเทศเกาหลีเหนือเจ้ากรรม “เป็ก นำ ซุน” ดันแถลงขึ้นไปคว้าไมค์และจับจองโพเดียม ชิงแถลง “ตัดหน้า”!!

อย่าลืมว่าเกาหลีเหนือถือเป็นศัตรูผู้แสนดื้อของสหรัฐและประเทศผู้ภักดีสหรัฐและรักประชาธิปไตยและทั่วโลกต่างกำลัง “บีบ” ให้เกาหลีเหนือ “ระงับ” การทดลองขีปนาวุธพิสัยไกล (นิเคลียร์) โดยทั้งเกลี้ยกล่อมทั้งทางการฑูต และกดดันสารพัด

แต่สุดยอดรัฐมนตรีของเกาหลือเหนือท่านนี้ ก็สวมวิญญาณแห่งจุดยืนอันประหลาด (เหมือนวีรบุรุษของประเทศเขานั่นแหล่ะ) ประกาศว่า เกาหลีเหนือจะทดลองขีปนาวุธต่อไปและจะไม่ยอมหมอบกราบให้กับใคร ที่บังคับให้เข้าร่วมการเจรจา 6 ฝ่าย กระนั้น ก็ยัง “หยาม” หน้าสหรัฐอีกสักดอก ด้วยการปรามาสว่า “ทำอะไรเหมือนเด็กประถม ไม่เป็นผู้ใหญ่” วิ่งโร่ร้องฝ่ายนั้นที ฝ่ายนี้ทีให้มาบังคับกดดันตน

ส่วนฮิลลารี เมื่อโดน “ขโมยซีน” ก็หลบฉากไปรวบรวมสรรพกำลังมาเต็มแม็ก สาดสงครามน้ำลายซะ “ฮาร์ดคอร์” ยังเรียก “พี่” เธอบอกว่าสหรัฐยังจะเดินหน้าประสานสันติภาพให้เกิดขึ้นในโลกต่อไป และให้ชาวโลกจดจำไว้ว่า “เกาหลีเหนือเป็นพวกคนไม่มีเพื่อน” ไม่ใช่แค่ Home alone นะท่านแต่นี่มัน Alone in the universe กันเลยทีเดียว

Alone In the Universe เป็นเพลงของ David Usher ของลูกครึ่งไทยที่ดังมากเมื่อ 10 ปีก่อน ฟังเพลงก็รู้สึกเพราะและน่ารักดี แต่ถ้าความหมายมาอยู่ในเรื่องการเมืองระหว่างประเทศ มันดูยะเยือกพิลึกค่ะ (พระครูปลัดสิทธิวัฒน์ : หลวงพี่น้ำฝนกล่าวไว้ว่า อนึ่ง “นกมีขน คนมีพวก” พึงสะดวกควรสร้างกัลยาณมิตร)

-ทิชา สุทธิธรรม-
**************************************

วันอาทิตย์ที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

พึ่งพา – อาศัย

สยามรัฐ 28 ก.ค. 2552

“ถึงจะสูง ก็อย่าให้ เกินไม้สอย
จะต่ำต้อย ก็พอก้ม คว้า งมถึง
คนจะสูง หรือจะต่ำ ควรคำนึง
เราต้องพึ่ง พาอาศัย เห็นใจกัน”
(พระครูปลัดสิทธิวัฒน์: หลวงพี่น้ำฝน)


“Don’t expect far beyond to reach,
Or not to underestimate yourself
No matter how you are rich or poor,
human needs to depend on one another.”
(ทิชา สุทธิธรรม)

ทิชา สุทธิธรรม
***************************************

“ฉัน (อเมริกา)” ยังอยู่

สยามรัฐ 27 ก.ค. 2552

เป็นที่เกรียวกราวสำหรับการประชุมเออาร์เอฟ ประชุมสุดยอดรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนที่ปิดฉากไปแบบหน้าหนึ่งประวัติศาสตร์ อันน่าจดจำและอดตะลึงพรึงเพริดไม่ได้

ก็จะอะไรซะอีก เมื่อถึงวาระที่ฮิลลารี คลินตัน รัฐมนตรีต่างประเทศของสหรัฐ ที่อุตส่าห์ข้ามน้ำข้ามทะเลมาร่วมการประชุมครั้งนี้ เพื่อต้องการประกาศว่า “ในนามของอเมริกา ข้ายังอยู่” จากเหตุปัจจัยที่ไม่มากไม่มาย ง่ายๆ แบบนี้เองค่ะ

คือ พักหลังๆ มาเนี่ย ตั้งแต่ บารัค โอบามา ได้ขึ้นเป็นประธานาธิบดีสหรัฐก็รู้และเข้าใจได้ดีว่า โอบามา นั้น “อ่อน” ในประเด็นนโยบายการต่างประเทศและมัวไปวุ่นวายกับการสร้างความเป็นพวกเดียวกันกับกลุ่มประเทศอาหรับ (ซึ่งก็ยังไม่เต็มสูบ ยังกล้าๆ กล้วๆ) ก็เลยทำให้เอาใจออกห่าง “เอเชีย” ไปบ้าง แบบไม่ได้ตั้งใจ

แต่ ณ ฉับพลันทันใด พี่ “จีน” ผู้มีนามสกุลว่า “ยักษ์ใหญ่” ก็เริ่มกรุยทางหนักขึ้นยามอเมริกาเผลอ เพื่อประโยชน์ทางการค้าและการสำรวจแหล่งทรัพยากรธรรมชาติ ซึ่งความสัมพันธ์ก็กำลัง ปึ๊ก(อ่านว่าซี้ปึ๊ก)มาก ทั้งกับ “พม่า” , “กัมพูชา” , “ลาว” และ “เวียดนาม”

หากเปรียบภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นเส้นชัย (อุปมาอุปไมย) จีนกำลังเป็น “กระต่าย” (ที่ขาย้าว ยาว ) และอเมริกาเริ่มพ่าย กลายเป็น “เต่า” เฮ่ย จีน มายเฟรนด์ จะทำอะไรก็ไว้หน้า ไอ (I) บ้าง!! แล้วก็คลอเพลง “ฉันยังอยู่” ของ อิง อชิตะ ปราโมทย์ ไปพลางๆ

แหะ.....แหะ ก็น่าจะพอช่วยได้บ้างหรอก ถ้าสิ่งที่อเมริกาสัญญาแล้วลงนามไปจะทำได้จริง แต่ “นี่” แค่น้ำจิ้ม ยังมีควันหลงประชุมสุดยอดรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนให้อ่านกันต่อ ฉบับหน้าค่ะ

-ทิชา สุทธิธรรม-
**************************************

วันพุธที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

“กอช.” ต่อชีวิต

สยามรัฐ 24 ก.ค. 2552

นอกจากเรื่องการที่นายจ้าง – ลูกจ้างมีโอกาสที่จะส่งเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคมน้อยลงจาก 5% มาเหลือที่ 3% จากวาระการ “ชง” เตะโด่งเข้าครม.ของท่านรมต.คลัง กรณ์ จาติกวณิช จะทำให้ทั้งนายจ้างยิ้มได้ เพราะจะมีภาระใส่เงินเข้ากองทุนน้อยลง ยังทำให้คนกินเงินเดือน หรือลูกจ้างทั้งหลายมีเงินเหลือเพิ่มขึ้นในบัญชีเงินเดือน

จะเป็นเช่นนี้ไปอีก 6 เดือน ตั้งแต่ ก.ค. – ธ.ค. 2552 ค่ะ

อีก 1 เรื่อง ที่ดี และน่าจะเกิดขึ้นมาตั้งนานแล้ว นั่นคือ “กองทุนการออมชราภาพ” (กอช.) ที่จะนำเงินที่สมาชิกกองทุนใส่ลงไปเดือนละ 100 บาท ไปลงทุนให้ออกดอกออกผล โดยมีรัฐบาลช่วยสมทบด้วย แบ่งได้ตามนี้ค่ะ

อายุ 20-30 ปี รัฐสมทบให้ 50 บาท/ เดือน
อายุ 31-50 ปี รัฐสมทบให้ 80 บาท/เดือน
อายุ 50-60 ปี รัฐสมทบให้ 100บาท/เดือน

ส่วนอัตราผลตอบแทนก็จะไม่ต่ำกว่าดอกเบี้ยเงินฝากประจำของธนาคารใหญ่ 5 แห่งหลักๆ มาถัวเฉลี่ยกัน

แต่มีข้อแม้ว่าคนที่จะมาลงทุนใน กอช. ได้ จะต้องเป็นผู้ประกอบอาชีพอิสระ เป็นนายตัวเอง ซึ่งเป็นเครื่องการันตี “เงิน” ดูแลให้ท่านได้ในวัยเกษียณ ที่อาจทำงานไม่ไหวเท่าสมัยหนุ่มๆ

“อุปมา” โดยบทบาทก็เหมือนกับ กบข. และ สปส. นั่นล่ะค่ะ เพียงแต่กองทุนบำเหน็จบำนาญจะดูแลข้าราชการ และ กองทุนประกันสังคมจะดูแลคนที่มีเงินเดือนประจำ

งานนี้บอกได้ว่า “โดน” และ “ดี” เพราะเป็นวิธีที่ทำให้ใม่ประมาทคิดวางแผนกับชีวิตในอนาคต ณ ยามที่ “ไม่มีแรง” !! (เอหิปัสสิโก: เป็นธรรมที่ควรบอกกับผู้อื่นว่า ท่านจงมาดูเถิด)
-ทิชา สุทธิธรรม-
**************************************

เสียเงิน อย่าเสียคน

สยามรัฐ 23 ก.ค.2552

“เสียเงิน เสียทอง ของนอกกาย
เสียมาก เสียมาย อย่าไปสน
เสียนิด เสียหน่อย พอทน
ไม่เสียคนนั้นหรือ คือ กำไร”
(พระครูปลัดสิทธิวัฒน์: หลวงพี่น้ำฝน)


“If you happen to lose money, please don’t care,
Even it is a large amount of money, forget it !
Or it is a very little money , pay it….
The important thing is not to lose yourself…
that is considered to be your benefit.”
(ทิชา สุทธิธรรม)

ทิชา สุทธิธรรม
***************************************

วันอาทิตย์ที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ท้อแท้ไม่ช่วยอะไร

สยามรัฐ 21 ก.ค. 2552

“อย่าท้อแท้เมื่อยามต้องลำบาก
อย่าวิ่งจากปัญหาไปเฉย......เฉย
อย่าคิดว่าหนทางไม่มีเลย
อย่านิ่งเฉยลุกขึ้นสู้ต่อไป”
(พระครูปลัดสิทธิวัฒน์: หลวงพี่น้ำฝน)


“Do not be discoraged when you are in trouble,
Do not run away from problems , Do not
tink it has no exit. Come on !! It is not
The end of the world.
Try to stand up and keep on fighting.”

(ทิชา สุทธิธรรม)

ทิชา สุทธิธรรม
***************************************



เอาไว้ก่อน เถอะตอนนี้

สยามรัฐ 20 ก.ค. 2552

เมื่อไม่กี่วันก่อนดิฉันมีโอกาสลงไปทำสกู๊ปพิเศษที่อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี แล้วก็ต้องบอกว่าตื่นตาตื่นใจมาก เพราะว่าเมืองทั้งเมืองของศรีราชาคราคร่ำไปด้วย “คนญี่ปุ่น”

แต่เดิม ศรีราชาแห่งนี้ถือเป็นดินแดนยุทธศาสตร์ของเขตพื้นที่พัฒนาชายฝั่งตะวันออก หรืออีสเทิร์นซีบอร์ด สมัยพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ เป็นที่ซึ่งมีการลงทุนพัฒนาโดย ภาครัฐและเอกชน หลายหลากมาก เช่น ท่าเรือน้ำลึกแหลมฉบัง

รวมถึงบริษัท ข้ามชาติทั้ง จีน เกาหลี แต่ที่ดูแล้วเป็นหลักเป็นฐานก็เห็นจะเป็นชาวญี่ปุ่น อ๊ะ.....อ๊ะ ทำเป็นเล่นไป คนญี่ปุ่นที่มาตั้งรกรากที่ศรีราชาแห่งนี้มีถึงกว่า 5,000 คน ส่วนใหญ่จะเป็นตั้งแต่ระดับผู้จัดการไปจนถึง ซีอีโอ (CEO: Chief Executive Officer)

จึงไม่แปลกที่จะเห็นทั้งคอนโดมิเนียม เซอร์วิส – อพาร์ตเมนต์ ร้านอาหารญี่ปุ่น, ร้านคาราโอเกะ ผุดขึนมาเป็นดอกเห็ด

“ซึ่งนั่นหมายความว่า คนญี่ปุ่นเหล่านี้จะสร้างรายได้” ให้กับศรีราชาอย่างมหาศาล (ถ้ารู้จักทำ)

คนญี่ปุ่นที่นี่จะค่อนข้างเป็นกลุ่มเป็นก้อน และจะไม่ค่อยคบคนไทยเท่าไร ร้านอาหารญี่ปุ่นส่วนใหญ่ ก็มีคนไทยเป็นเจ้าของมาก่อน แล้วถูก take over เพื่อทำรองรับคนญี่ปุ่นที่ต้องการความเป็นส่วนตัว และมีฐานกำลังซื้อสูงกว่า (ปฎิบัติชอบย่อมไม่ใช่เลือกปฎิบัติ)

ดูแล้วก็ไม่ค่อยชอบใจ แต่จะว่ากระไรได้ ตักตวงจากเขาก่อนได้ก็ตักตวงไป ทำอะไรก็ได้ ไม่ต้องอาย ในวันที่ชาติ “ขาดเงิน” จริงมั้ย !!
-ทิชา สุทธิธรรม-
**************************************

วันพุธที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

: “ตาย” ท่วมหัว “กลัว” จนต้องปิด

สยามรัฐ 17 ก.ค. 2552

ดิฉันไปอ่านเจอข้อมูลทางการแพทย์ที่น่าสนใจ ว่า ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 นั้นอาจจะกินวงกว้างในอัตราเร่งตัวมากขึ้น เชื้อโรคที่ปนมากกับการไอ จาม นั้นสามารถฟุ้งกระจายได้ถึง 5 เมตร (โอ้!! แม่เจ้า) ดิฉันจำในวันที่ไม่ทันได้พกหน้ากากว่าตัวเองพยายามเอากระดาษทิชชูปิดปากอยู่เหมือนกัน แต่สงสัยจะกลั้นหายใจได้ไม่พ้นระยะ 5 เมตร (แต่ยังสบายดีค่ะ)

ตอนนี้กระทรวงสาธารณสุขได้ยกเลิกการประกาศเป็นผู้เสียชีวิตรายวันเป็นการประกาศในทุกวัน “พุธ” บอกตรงๆ ว่า “ไม่เห็นด้วย” เพราะตีโจทย์ไม่แตกว่า เป็นเพราะรัฐบาลกลัวว่าข้อมูลจะถูกบิดเบือน หรือกลัวว่าประชาชนจะรับไม่ได้ว่า “รับมือหวัดใหญ่ไม่ได้เรื่อง” จนเสียคะแนนนิยมกันแน่

ถามจริงเหอะ “หยุดประกาศตัวเลขคนตาย แล้ว คนมันหยุดตายเหรอค่ะพี่” ดูไปเถอะค่ะบทพิสูจน์นี้จะลุล่วง หรือเหลวเป๋ว

อีก 1 เรื่องที่น่าห่วง คือ “หน้ากากอนามัย” ที่ขาดตลาดอย่างหนัก เพราะพี่ไทยคนป่วยเยอะ คนยังไม่ป่วยแต่ตื่นตูม (ซึ่งก็ดี) มันก็เยอะ แถมยังต้องผลิตเพื่อส่งออกอีก เลยถูกระงับส่งออก เอามาส่งให้คนในประเทศใช้กันก่อน (ถ้าไทยไม่ช่วยไทยแล้วใครจะช่วยเรา : กรุณา คือ การคิดอยากให้ผู้อื่นมีความสุข)

ฝากสำหรับพวก “โก่งราคา” และ “กันตุน” หน้ากากกันหน่อยหวัดระบาดจนตายกันขนาดนี้ แถมมีท่าทีจะไปยาวจนถึงปลายปีในเบื้องต้นเนี่ยะ จะ “ซ้ำเติมคนไทยกันไปทำไม” แค่คุณธรรมง่ายๆ ไม่เห็นต้องกลั่นกรองอะไร ถ้าคิดผิด ก็อยากให้คิดกันใหม่ ถึง สังคมเกือบจะหมดสิ้น ความศิวิไลซ์ (sivilizde) อย่างน้อยๆ ก็ควรไม่ “ใจดำ” !!

-ทิชา สุทธิธรรม-
**************************************

ชาย- หญิง แท้จริงเท่ากัน

สยามรัฐ 16 ก.ค. 2552

“แม้เป็นหญิง ก็เป็น คนคนหนึ่ง
มีสิทธิ์ซึ่ง พึงรักษา ถ้าโดนหยาม
เกิดเป็นคน เหมือนกัน ทุกผู้นาม
ควรให้ความ เท่าเทียม เปี่ยมธรรมดา
(พระครูปลัดสิทธิวัฒน์: หลวงพี่น้ำฝน)


“Although one was born as a woman, she is a human,
she has her own rights to protect herself when hurt,
Just like every single human of course,
She is equal to “man” and need to live in equality”
(ทิชา สุทธิธรรม)

ทิชา สุทธิธรรม
***************************************

: ระวัง....จะอยู่ไม่ไหว

สยามรัฐ 15 ก.ค. 2552

ยังคงคาใจอยู่จนทุกวันนี้ค่ะ วันนี้คุณแม่มาเล่าให้ฟังว่าไปพบหมอ (แพทย์) อายุรกรรม เพื่อปรึกษาเรื่อง “หวัด 2009” ด้วยความกังวลว่าตัวเองจะเป็น จากนั้นก็ได้ยินได้ฟัง คุณหมอ พูดว่า “สื่อน่ะ” ตีข่าวกันจนเว่อร์ ทำเหมือนเป็นสิ่งที่น่ากลัว รุนแรง จริงๆ มันก็แค่ “ไข้หวัดใหญ่ธรรดา” ที่อาการไข้สูงไม่ลด

ดิฉันเลยย้อนถามไปหน่อย “แล้วไอ้ที่มีคนตายกันล่ะ ธรรมดามั้ย” แม่บอก “นั่นมันสำหรับคนที่มีโรคแทรกซ้อนอยู่แล้ว” แต่ she ก็บอกว่า she ปวดหัว กลัวอยู่เหมือนกัน ว่าไม่ได้นะค่ะ คุณผู้อ่านทั้งหลาย

ในความเห็นส่วนตัวของดิฉัน “นี่คืองานใหญ่ที่บั่นทอนอายุของรัฐบาลชุดนี้”

ปาฏิหาริย์มีจริง ค่ะ แค่ปลากระป๋องยัง “ม่อง” เด้งจากครม. ได้ นับประสาอะไร กับ หวัดที่ทำคนถึงตาย โดยรัฐบาลทำอะไรไม่ได้มากไปกว่า “เฝ้าดูดาย” เห็นแล้วขัดใจแทน แม้นว่า “อุเบกขา” (การวางเฉย) ซะบ้างจะเป็นทางสายกลางกับชีวิต ดิฉันอดคิดไม่ได้ว่า “คงไม่ถูกเวลา” ซะละมั้ง

แต่ที่มาแน่ๆ แบบถูกเวลาคงเป็นเรื่องของ “พันธบัตร ออมทรัพย์ ไทยเข้มแข็ง” ที่โดนใจอย่างแรงในหมู่ ผู้สูงอายุ ดอกเบี้ยเฉลี่ยที่ 4% เป็นความหวังคนชราโดยแท้ อยากจะเสนอแนะคุณปู่ คุณย่า คุณตา คุณยาย กันนิดหน่อยค่ะ อยากให้คิดยาวๆ มองไกลๆ ถ้าลงทุนอะไรในเวลาที่ยาวนาน ซึ่งอาจนานเกินกว่าที่ “ท่านๆ” จะอยู่ไหว (อะไรๆก็เกิดขึ้นได้) ก็ต้องถ่ายเท “มรดก พันธบัตร” ไว้ให้ลูกหลานท่านบ้างน่าจะดีนะค่ะ อย่างน้อยจะได้มีผู้รับช่วงต่อ หรือถ้าท่านๆ ล่วงเลยจนเกิน 70-80 ขวบปีไปแล้วละก็ ซื้อไปอาจไม่ไหวจะอยู่ครบกำหนดไถ่ถอน เก็บเงินพักผ่อน อยู่บ้านรักษาตัว น่าจะดีกว่า อย่าเพิ่งต่อว่าหลานคนนี้หนา ปรารถนาดีจากใจ!!
-ทิชา สุทธิธรรม-
**************************************

วันอาทิตย์ที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ผู้หญิงก็คน

สยามรัฐ 14 ก.ค. 2552

“คนเหมือนกัน เกิดที่ใด ไม่ผิดแปลก
ไม่ควรแยก เผ่าพันธุ์ มันเสียหาย
ถึงชายหญิง ต่างกัน เพียงร่างกาย
อย่าทำลาย ข่มศักร์ศรี สตรีไทย”
(พระครูปลัดสิทธิวัฒน์: หลวงพี่น้ำฝน)


“We are all human on matter where we were born,
no need to discriminate who you are
Both man and woman are same except their physical look,
So, don’t look down on dignity of female.
(ทิชา สุทธิธรรม)

ทิชา สุทธิธรรม
***************************************

: เหตุวิบาก จากหวัด (ใหญ่)

สยามรัฐ 13 ก.ค. 2552
คงยังไม่น่าเบื่อพอที่จะพูดถึงไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ที่คร่าชีวิตคนไทยกันรายวัน ปัญหาที่เป็นข้อสงเกต คือ คนมากมายที่รับเชื้อแต่กลับถูกปฎิเสธว่า “ไม่เป็นไข้หวัด 2009” ในเบื้องแรก น่าแปลกและอดสงสัยแบบคนที่ไม่ได้เป็นแพทย์ไม่ได้ว่า เหตุใดเรื่อง “เชื้อโรค” ง่ายๆ จึงวินิจฉัยไม่เจอ (ยังคงลังเลสงสัย : วิจิกิจฉา)

ต้องรอจนย้ายโรงพยาบาลและใกล้กลับบ้านเก่า แพทย์ถึงเริ่ม “เดา” ได้ว่าติดหวัดใหญ่ 2009 รอจนวันใกล้ “เผา” โน่นเหล่ะ ถึงจะ “ชัวร์” (วิบากกรรมแท้ๆ)

บรรดาสถานที่สุ่มเสี่ยงเป็นแหล่งแพร่เชื้อ เช่น โรงเรียนกวดวิชา ที่ถูกสั่งปิด 2 สัปดาห์ ก็ ดิ้น กันสุดฤทธิ์ บอกรัฐบาลเข้าใจ “ผิด” ถ้าโรงเรียนกวดวิชาผิดจริง ป่านนี้ คงมีคนติดเป็นแสนๆ และออกมาแถลงกันโครมใหญ่

อันนี้ไม่ได้ว่าใคร สถานที่ใด ที่เป็น Public Place ที่สาธารณะมันก็เป็น “แหล่งกระจากเชื่อทั้งสิ้น” จะเกมส์ตู้ เกมส์ร้าน หรือบ้านที่มีคนอยู่หลายคน โรงเรียนกวดวิชาจะมาบ่นนั้นไม่สมเหตุสมผล “คน” ต้องรับความจริง

เรื่อง “หวัดใหญ่” ถือว่า “หละหลวม” ตั้งแต่ “ต้นตอ” ตอนมันยังไม่เข้ามาในบ้านเรา ก็ไม่รู้จักหามาตรการป้องกันรัดกุม พอเข้ามาแบบ “รัวๆ” คนจัดการ (รู้กันอยู่ว่าใคร) เลยมั่วๆ ไปไม่ถูกหนักๆ เข้า “เอามันแค่ยอดคนป่วยเพิ่ม ยอดคนตายเพิ่ม” แต่ล้มเหลวเรื่องมาตรการ

รัฐบาลบอกจะรอให้ตายถึง 1.5 ล้านคน ค่อยปิดประเทศ แม่เจ้า!! นานไปมั้ย ดูเม็กซิโกสิ ปิดประเทศหยุดกิจกรรมเศรษฐกิจไม่เท่าไร่ทำไมข่าวเริ่มเงียบหาย คนตาย...น้อยลงทันตา

จะลองดู “จีน” บ้างก็เข้าท่า ใครป่วยเกิน 37.5 องศา ห้ามลงจากเครื่องมาแพร่เชื้อ เด็ดขาดแบบนี้ก็ดี ป่านนี้ยังไม่มีคนตาย !!

-ทิชา สุทธิธรรม-
**************************************

วันพฤหัสบดีที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

หมู..ไม่หมู หนูเลือกได้

สยามรัฐ 10 ก.ค. 2552
มันมาอีกแล้ว !!! ไม่ใช้อะไรค่ะ ตอนนี้คนเริ่มพูดถึงราคา “หมู” ขายปลีกที่กลับมา “แพง” กันอีกรอบ งานนี้คงต้องกางราคาดูกันหน่อย

ราคาหมูหน้าฟาร์มแต่เดิมประมาณ 63 บาท ต่อกิโลกรัม ตอนนี้ตกอยู่ประมาณ 55-56 บาท
ต่อกิโลกรัม (ราคาลดลงมาประมาณนึง) เมื่อจะมาเป็นราคา “หมูซีก” ที่ต้องคำนวณโดยอิงจากสูตรใหม่ของกรมการค้าภายใน โดยบวกกำไร 10 บาท “หมูซีก” จะอยู่ราคากิโลกรัมละ 66 บาท ซึ่งจะมีผลให้ราคา “หมูเขียง” อยู่ประมาณ 100-110 บาท ต่อ กิโลกรัม

แต่ปัญหาที่จะทำให้เรื่อง “หมูหมู” มัน “ไม่หมู” ก็คือ ผู้รับประทานหมูทั้งหลาย พากันร้อง “อู๊ด..อู๊ด” อุ๊ย ! ไม่ใช่ค่ะ อู๊ !! หมูขายแพงเกินราคากรมฯ ตั้งกิโลละ 20 บาท แน่ะ !!

“งานเข้า” กัน ทุกภาคส่วน ทั้ง นายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ (สุรชัย สุทธิธรรม) สมาคมที่เกี่ยวข้อง รวมถึงพ่อค้าแม่ขาย กำลังจะ “โร่” เข้าคุยกับคุณยรรยง พวงราช อธิบดีกรมการค้าภายใน เพื่อหารือถึงราคาที่แท้จริง

ก็ถ้ามัน “ไม่หมู” กันมากนัก ก็หันไปรับประทานอย่างอื่นกันบ้างก็ได้ มีทั้ง “ไก่” ทั้ง “ไข่” ที่ไม่ต้องถามว่าอะไรเกิดก่อนเอาเป็นว่า ราคาหาซื้อได้คุ้มทั้งคู่ คุณค่าอาหารก็สูสี

“พระพุทธเจ้าสอนให้ไม่ยึดมั่นถือมั่นกับทุกสิ่ง นั่นคือเรื่องจริง” ถ้าหมูมันหยิ่งก็อย่าไปกินมัน เท่านั้นเอง !!

-ทิชา สุทธิธรรม-
**************************************

บัง – บุญ

สยามรัฐ 6 ก.ค. 2552
ต้องกล่าวว่าสวัสดีและขออภัย กันเป็นประโยคแรกของบทสนทนา ทักทายคุณผู้อ่าน หน้า 27 (หน้าพระเครื่อง) อย่างเป็นเรื่องเป็นราว

สาเหตุที่หายไปนาน เพราะเกิดความเปลี่ยนแปลงและมีเรื่องให้ต้องตัดสินใจหลายประการค่ะ พอชีวิตลงตัวได้ที่ก็เริ่มนับหนึ่งกันใหม่

นับหนึ่งเขียนคอลัมน์ที่คงความเป็นเศรษฐกิจติดธรรมะ ยิ่งตอนนี้ ยิ่งต้องการธรรมะมายึดเหนี่ยวเกี่ยวใจ จะอะไร ก็เศรษฐกิจยังไม่น่าไว้ใจว่า “ฟื้นจริง”

ต้อนรับวันสำคัญทางศาสนา คือ วันเข้าพรรษาและวันอาสาฬหบูชา กันหน่อย ปกติแล้ว ในช่วงที่เศรษฐกิจไม่ “กระดิกเงย” การค้าทุกอย่างดูล่าถอย ยกเว้น อะไรที่ออกแนวที่พึ่งทางใจ อย่างเช่น เรื่องหมอดู เรื่องพระเจ้า หรือ พวกทำบุญเสริมดวงจะมาแรง ใช่มั้ยค่ะ

แต่กระแสครั้งนี้อาจดูไม่คึกคักนัก “ธุรกิจบุญเลยถูกเบียดบัง” อย่างเลี่ยงไม่ได้ ผู้ประกอบการที่ “ฉลาด” ก็ไม่พลาดกระแสปรับตัวสต็อกเครื่องสังฆทานกันน้อยลง customized ตามความพอใจของลูกค้าถ้าลูกค้ากระเป๋าหนักก็ดีไป แต่ถ้าลูกค้าไม่พร้อมจ่าย ก็ให้เค้าได้เลือกได้ตามชอบ

ที่สำคัญอย่าให้ “เทศกาลสร้างบุญ” เป็น “เทศกาลสร้างบาป” ทั้งผู้ซื้อผู้ขาย ต้อง “ตาไว” เครื่องสังฆทานถึง “Expiring Date” เมื่อไรอย่าได้เห็นแก่ “ของถูก” นอกจาก พระสงฆ์องค์เจ้า จะ “ทุกข์” “บุญ” ยังปลูกไม่ขึ้นอีกต่างหาก!!!

-ทิชา สุทธิธรรม-
**************************************

: ชักใบ แต่เรือไม่เสีย

สยามรัฐ 8 มิ.ย. 2552
รัฐบาลคงหายใจโล่งอกไปตามๆ กัน เมื่อสัปดาห์ที่แล้วที่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญตัดสินวินิจฉัยให้ พรก. กู้เงิน 4 แสนล้าน ไม่ขัดกับรัฐธรรมนูญ ตามที่ฝ่ายค้านไปยื่นไว้ในคราวแรก เพราะมองเห็นแล้วว่าในภาวะที่เงินชาติขาดมือก็ขาดซึ่งกระสุนจะเอาไป อัดฉีด ฟื้นฟูประเทศ อันสุดจะล่าถอยด้วยหลายเหตุผลดังนี้ ประเทศไทยที่มีปัญหาการเมืองรุมเร้า และฉุดเศรษฐกิจให้ดำดิ่ง

-ความเชื่อมั่นลดลงทั้งผู้บริโภคและผู้ลงทุน
-รัฐผลักดันโครงการได้ล่าช้า
-การส่งออกและนำเข้าที่ลดลงอย่างมาก
-รายได้การท่องเที่ยวลดลง
-ธุรกิจปิดกิจการมากขึ้น/ SME อาจอยู่ได้แค่ 8 เดือน
-แนวโน้มว่างงานสูงขึ้น
-หนี้เสียสูงขึ้น กำลังซื้อลด จีดีพีหด
-รัฐจัดเก็บรายได้ไม่เข้าเป้า
-แนวทางแบ่งเบาภาระเกษตรกรมีปัญหา

ทั้งหมดทั้งปวงเลยเห็นสมควรว่า “ต้องให้ผ่าน” ผ่านแล้วก็ยังต้องสร้างความมั่นใจให้ได้ว่า 4 แสนล้าน จะกระตุ้นเศรษฐกิจได้จริง

งานนี้ไม่ “ฝ่ายค้าน” ผู้ยื่นบอก “ขอดิ้น จนตัวตาย ดีกว่าไม่ได้ ต้อน” เฮ้อ!! ก็ต้อนแล้วเค้าไม่จนมุม (ชักใบให้เรือเสีย แต่ผิดคาด) ก็ต้องไปลุ้นในที่ประชุมสภา (วิสามัญ) ละกันเนอะ ยังงัยก็ยังหลักพุทธศาสน์ ตรวจสอบได้และโปร่งใส “การเมืองมากไป – เป็นบาป” !!! ค่ะพี่ท่าน !?!
-ทิชา สุทธิธรรม-
**************************************

: เด่นนัก มักเป็นภัย

สยามรัฐ 4 มิ.ย. 2552
“คนที่ด้อยกว่าเรานี้มีมากเหลือ
คนที่เหนือกว่าเรานี้ก็มีถม
อย่าเย่อหยิ่งทรนงหลงงายงม
อย่าหลงชมว่าตัวเด่นจะเป็นภัย”
(พระครูปลัดสิทธิวัฒน์ : หลวงพี่น้ำฝน)

“Lots of people is inferior than us,
Same as Lots of people is also superior than us,
Therefore, don’t be too proud and self – important,
Because it will do you harm in one day.”
(ทิชา สุทธิธรรม)

ทิชา สุทธิธรรม
***************************************

หยาดฝน คนสู้

สยามรัฐ 2 มิ.ย. 2552

“เพียงหยาดฝนจากฟ้ามาสู่พื้น
ดินชุ่มชื่นก่อเกิดกำเนิดผล
เริ่มชีวิตคิดใหม่ใจอดทน
เกิดเป็นคนต้องสู้รู้ทำดี”
(พระครูปลัดสิทธิวัฒน์ : หลวงพี่น้ำฝน)

“When rain drops fall , Earth is fertilized.
Comparing to human, being a strong fighter with
a clean heart because life goes on.”
(ทิชา สทุธิธรรม)

ทิชา สุทธิธรรม
***************************************

ทำรัง แต่ พอตัว

สยามรัฐ 1 มิ.ย. 2552
กระแสของการเปิด เออร์ลี่ รีไทร์ หรือสมัครใจลาออกยังไม่จางหายไป เพราะล่าสุด หน่วยงานที่ถือเป็นเสาหลักแห่งวงการตลาดทุนก็ต้องหันมาใช้นโยบายนี้เช่นกัน ไม่ใช่ด้วยว่าขาดแคลนทุนรอนถึงกระทั่ง “ถังแตก” แต่ “มันจำเป็น”

1 สิ่งของกฏการปรับตัวในยามเศรษฐกิจตรึงเปรี๊ยะ ถ้าเป็นโรงงานก็คือ ต้อง ลดกำลังการผลิต ลดเงินเดือน ลดโบนัส ไปจนถึงปลดคนออก

กฏของการปรับตัวก็กินรวบมาถึง “ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย” ที่เริ่มจะ Down Size ลดขนาดขององค์กรลง เริ่มจากจะเลิกจ้างพนักงานชั่วคราวให้สิ้นสุดที่เดือนมิถุนายน

สำหรับคนที่เป็นลูกหม้อมานานเกิน 15 ปี เปิดโอกาสให้สมัครใจลาออก โดยอาจให้ เงินเดือน 36 เดือนด้วย จะว่าให้โอกาสคนเก่าแก่....นั่นก็ใช่ ที่ยังพอนึกชมเชยในใจ คือ การลดคนครั้งนี้จะไม่กะเกณฑ์จำนวนคนที่ให้สมัครใจออก ซึ่งแปลว่าจะไม่มีการ “บีบให้คนออก” ตามมา

แต่ถ้าถามว่าจะเศร้ากันไหมก็คงจะหลายความรู้สึก เพราะจะต้อง รับพนักงานใหม่ที่อ่อนเวทีทำงาน เกรดน้อย ด้อยประสบการณ์มาแทนที่ ทางตลาดฯ แบกไม่ไหว ต้องลดคุณภาพ ลงไป เพราะคนมาใหม่ยังต่องานไม่ติด “งาน” อาจจะเดินได้ไม่ทันใจ แต่หวังว่า คงไม่สายไปสำหรับยุคใหม่ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยที่รอวัน “ใกล้ฟื้นตัว” “พุทธศาสนา สอนให้ “อิ่มเอมในความพอดี พอตัว และพอเพียง”

-ทิชา สุทธิธรรม-
**************************************

บอกตัวเองว่า “ยังไหว”

สยามรัฐ 29 พ.ค. 2552
เมื่อสองสามวันก่อน คนไทยที่สนใจเรี่องเศษฐกิจปากท้องก็ต้องรู้สึก ช็อก ไปตามๆ กัน เมื่อการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในไตรมาสแรกของปี (GDP) ติดลบไปถึง ร้อยละ 7.1 มีเพียงตัวเลขทางภาคเกษตรเท่านั้นที่พอกู้หน้าได้ ถึงแม้ว่าจะไม่มากจนน่าชื่นใจ แต่ถูๆ ไถๆ ก็ยังไปได้ถึง ร้อยละ 3

อันที่จริงไม่ต้องพิเคราะห์อะไรกันลึกซึ้งก็พอจะมองออกว่าอย่างไรเสียก็ต้องติดลบ เพราะได้อิทธิพลมากจากเหตุการณ์วุ่นๆ ตั้งแต่ปลายปีที่แล้วและตัวเลขส่งออกที่ลบมากถึง 3 เดือน ติดต่อกัน แต่ที่ผิดคาด คือ จากที่ควรจะติดลบไม่เกินร้อยละ 4 พี่ท่านดันทะลุไปถึงร้อยละ 7.1 ซึ่งเป็นการขยายตัวต่ำรุนแรงที่สุดในรอบ 7 ปี นี่สิ เล่นเอาใจหาย แถมต้องรอลุ้นการผ่าน พรก.กู้เงิน อีก 4 แสนล้านบาท พาลให้คิดไปว่าถ้าออกมาไม่ได้จริงๆ จะเอาเงินที่ไหนมากระตุ้นเศรษฐกิจ

อีก 1 เรื่องก็เห็นจะเป็น อาการของ แบงค์เมืองนอกที่ เข้าข่ายมีความเสี่ยงจากบททดสอบสถานะแข็งแกร่งทางการเงิน (Stress Test) ที่ตอนนี้บางแห่งที่ได้กู้เงินไปต่อลมหายใจกันไป เริ่มออกอาการดิ้นหาเงินและปลอบใจตัวเองว่า “พอไปได้” ระดมทุนกันยกใหญ่ เช่น ขายหุ้นที่เคยช้อนซื้อแหล่งอื่นๆ บ้าง เพิ่มทุนกันอีกรอบบ้าง

ด้วยเหตุผลที่ว่า อยากทยอยส่งคืนเงินกู้มาให้แบงค์ชาติเค้าซะ เพราะดอกเบี้ยสูงเหลือเกิน (5%) แถมอำนาจบริหารจัดการอาจไม่คล่องตัว เงินทองเข้าออกก็ต้องบอกผู้ใหญ่ของแบงค์ชาติสหรัฐ จนแทบกระดิกตัวไม่ได้ จะเข้าข่าย “สู้จนตัวตาย – ยังมีไฟ – หรือไม่ยอมรับความจริง” (หลอกคนอื่นหลอกได้ แต่หลอกตัวเองไม่ได้) ก็สุดแท้แต่ ดิ้นกันไม่กลัว “เมื่อย” หวังว่าคงไม่ “เหนื่อย” ฟรี !!!

-ทิชา สุทธิธรรม-
**************************************